ค่อยๆ ดับโลภะนั้นได้ตามลำดับขั้น


    ทุกท่านที่ยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ก็เห็นกำลังของโลภะได้ว่า มากมาย จริงๆ ในแต่ละวัน ในแต่ละภพ ในแต่ละชาติ ดูไม่น่าเชื่อเลยที่จะเป็นไปได้ว่า คนที่เคยพอใจทุกอย่างในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ตลอดกาลยาวนานของสังสารวัฏฏ์นี้ เมื่อได้อบรมเจริญปัญญา ปัญญานั้นสามารถจะ ค่อยๆ คลาย ค่อยๆ ละ ค่อยๆ ดับโลภะนั้นได้ตามลำดับขั้น

    เพราะฉะนั้น ก็เห็นหนทางของอกุศลธรรมกับโสภณธรรม แม้ว่าโลภะจะเกิด อยู่เป็นประจำทุกวันในชาตินี้ และในสังสารวัฏฏ์ ในอดีตที่ยาวนานมาแล้วก็จริง ซึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ที่อบรมเจริญปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อยๆ จนกระทั่งปัญญานั้น คมกล้าสามารถดับโลภะได้ตามลำดับขั้นจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เป็นสิ่งที่ควรพากเพียร เป็นสิ่งที่ควรพยายามไปทุกภพทุกชาติ เพราะถ้าไม่ได้เจริญอบรมปัญญา ถึงขั้นที่จะดับกิเลส จะเห็นได้ว่า การละ หรือการสละความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะนั้น เป็นได้เพียงชั่วขณะจริงๆ ไม่นานเลย เพราะว่า สละวัตถุเพื่อเป็นทาน เป็นประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่นชั่วเล็กน้อยในวันหนึ่งๆ หมดแล้ว หลังจากนั้นโลภะก็เข้ามาอีก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ฉะนั้น มีหนทางเดียวจริงๆ คือ อบรมเจริญปัญญา ดับโลภะที่เกิดร่วมกับความ เห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก่อนที่จะถึงการดับกิเลสขั้นต่างๆ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1602]

    มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ รัฏฐปาลสูตร ข้อ ๔๒๓ มีตัวอย่างของท่านที่อบรมเจริญปัญญาเห็นโทษของโลภะ และสะสมมาพร้อมที่จะดับโลภะเป็นสมุจเฉท หลังจากที่ในอดีต ในสังสารวัฏฏ์ ท่านเป็นผู้ที่มีความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นชีวิตของท่านพระรัฐปาละผู้เป็นเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกผู้บวชด้วยศรัทธา

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1602


    รัฏฐปาลสูตร


    หมายเลข 14092
    28 พ.ย. 2568