เอาชนะใจตัวเอง


    สุ. เอาชนะใจตัวเองได้ยากจริงๆ เป็นเพราะความอ่อนแอหรือขาดอะไร เมื่อเอาชนะไม่ได้ก็เกิดเบื่อหน่ายท้อแท้ จิตใจไม่เบิกบานผ่องใส มืดๆ ทึบๆ หงุดหงิด งงๆ ใจก็ฟุ้งซ่าน หรือไม่ก็เลื่อนลอย เลยหลับไปไม่รู้ตัว จะให้ปฏิบัติอย่างไร

    นี่ก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ และหลายคนก็คงจะพบกับปัญหาข้อนี้ที่ว่า เอาชนะใจตัวเองได้ยากจริงๆ

    อ.สมพร การชนะใจตัวเองยากจริงๆ ถูกต้อง มีตั้งแต่สมัยพุทธกาลถึง สมัยปัจจุบัน คนที่จะเอาชนะใจตัวเองได้นั้นยากเต็มที บางทีคิดอยู่ตั้งชั่วโมงเรื่องจะ ถวายของ หรือจะให้ของ หรือจะรักษาศีล เป็นต้น กว่าจะทำได้ให้ศีลบริสุทธิ์จริงๆ หรือจะให้ทานจริงๆ ต้องใช้กำลังจิตมาก เพราะฉะนั้น เป็นความจริงที่ว่า ชนะใจตัวเองนี่ยากจริงๆ

    เพราะความอ่อนแอ หรือขาดอะไร

    ความจริงจิตเราอ่อนแออยู่เสมอ สำหรับผู้ที่ไม่ศึกษาเล่าเรียน เพราะว่า จิตที่เป็นอกุศล มีความฟุ้งซ่านเป็นนิจ คิดถึงเรื่องญาติ เรื่องมิตร เรื่องศัตรู เรื่องความรัก เรื่องความโกรธ เรื่องความอิจฉาริษยา จิตหมุนไปทั่ว ฟุ้งซ่านไปทั่ว การฟุ้งซ่านนี้แหละเรียกว่า จิตอ่อนแอ ไม่มั่นคง เพราะขาดกุศลจิต คือ ขาดการศึกษาเล่าเรียน ขาดการฟัง เพราะว่าการฟังทำได้ปัญญา ขาดกุศลธรรม ขาดหลายอย่าง เมื่อเอาชนะไม่ได้ก็เกิดเบื่อหน่ายท้อแท้ เป็นธรรมดาของคนที่ยังไม่มีทางออก ทุกคนเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายไม่ใช่กุศล เป็นอกุศลประเภทของโทสะ คือ ความไม่สบายใจ

    คำว่า เบื่อหน่าย บางท่านอาจเข้าใจว่าเป็นกุศล แต่ไม่ใช่เบื่อหน่ายอย่างนั้น เบื่อหน่ายนี้เป็นประเภทไม่สบายใจ จึงเป็นอกุศล

    และพวกเลื่อนลอย หลับไปโดยไม่รู้ตัว นี่ก็เป็นไปตามปัจจัย ธรรมทั้งหลายเกิดจากปัจจัย มีปัจจัยให้เกิดก็เกิดความง่วงเหงาหาวนอน ความง่วงเหงาหาวนอนก็ต้องเกิด การที่เราไม่ชนะใจตัวเราเองได้ มีปัจจัยเหมือนกัน เพราะเราไม่ศึกษาเล่าเรียน ไม่ฟัง ไม่ค้นคว้า เมื่อเราศึกษาเล่าเรียน มีการค้นคว้า มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง เราก็จะดำเนินการได้ตรงจุดหมายได้ แต่จะให้ชนะใจตัวเอง ชนะไม่ได้ เพราะใจเกิดแล้วก็ดับ ใจคือจิต จิตกับใจก็อันเดียวกัน จิตเกิดขึ้นและดับไป การที่จะชนะใจตัวเองได้ถ้าหมายความว่าจะทำอะไรต้องทำให้ได้ นั่นเป็นอัตตา บังคับบัญชาตัวเราเองได้ แต่ทุกสิ่งมีปัจจัยให้เกิด เมื่อมีปัจจัยให้ชนะก็ชนะได้ เมื่อปัจจัยให้แพ้ก็แพ้ได้ เมื่อมีปัจจัยให้กุศลเกิด กุศลก็เกิด เมื่อมีปัจจัยให้อกุศลเกิด อกุศลก็เกิด ทุกอย่าง ล้วนเกิดแต่ปัจจัยทั้งสิ้น [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1842]

    สุ. คำถามที่ว่า การชนะใจตัวเองได้ ยากจริงๆ ทราบไหมว่าเพราะอะไร ต้องมีเหตุ แม้แต่คำถามนี้ก็ไม่พ้นจากความต้องการหรือความอยาก แสดงให้เห็นว่า ทุกคนอยากอยู่เสมอ แม้แต่ใจตัวเองที่รู้ว่าไม่ดี ก็ยังอยากจะเอาชนะใจ แต่ธรรมทั้งหลายไม่ใช่สำเร็จได้ด้วยความอยาก ถ้าใครสามารถใช้ความอยากเพื่อ ที่จะได้บรรลุผล โลกไม่มีปัญหาเลย เพราะว่าทุกคนอยากอย่างไรก็ทำได้อย่างนั้น แต่แม้ว่าทุกคนจะอยากสักเท่าไรก็ตาม โลกไม่ได้เป็นไปตามความอยาก เพราะว่า การชนะใจตนเองได้ ไม่ใช่มีตัวตนหรือมีเราที่จะชนะ แต่กิเลสทั้งหลายจะเบาบางลงได้ก็เพราะปัญญาเจริญขึ้น

    ตราบใดที่ปัญญายังไม่มี จะมีใครที่เป็นคนดีขึ้นๆ ก็ยาก เพราะต้องเป็นปัญญาที่เพิ่มขึ้นตามลำดับขั้นจึงจะดีขึ้นได้

    เพราะฉะนั้น ที่ถามว่า เป็นเพราะความอ่อนแอ หรือขาดอะไร คำตอบก็คือ ขาดปัญญา คิดว่าตัวตนสามารถชนะได้ แต่ขอเรียนให้ทราบว่า โลภะหรืออกุศลทั้งหลายจะยอมแพ้สิ่งเดียวเท่านั้น คือ ปัญญา ตราบใดที่ปัญญายังไม่เกิด ยังไม่มี ยังไม่เจริญ ก็ต้องเบื่อหน่ายท้อแท้ เพราะว่าอยากได้สิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น จิตใจก็ย่อม ไม่เบิกบานผ่องใส และทำให้อกุศลอื่นเพิ่มขึ้นติดตามไปด้วย เช่น มืดๆ ทึบๆ หงุดหงิด งงๆ ใจก็ฟุ้งซ่าน นี่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าเมื่อไม่มีปัญญา อกุศลอื่นๆ ก็ต้องเจริญขึ้นด้วย

    เลื่อนลอย เลยหลับไปไม่รู้ตัว

    นี่ก็เห็นโทษอยู่แล้วว่า ไม่มีอะไรสักอย่างที่ดี แต่ถ้ามีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น มีความเข้าใจถูกขึ้น จะทำให้ไม่มืดๆ ทึบๆ เพราะมีความผ่องใส ที่ได้เข้าใจถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น ต้นเหตุคือโลภะ และความอยากมีหลายอย่าง แม้แต่อยากจะชนะใจตัวเอง ก็เป็นแต่เพียงความอยาก ไม่ใช่เป็นปัญญา

    ถ. โลภะ โทสะ โมหะที่เกิด อาศัยอะไรเป็นต้นเหตุจึงเกิดขึ้นมา

    อ.สมพร โลภะ โทสะ โมหะ อาศัยอวิชชาเป็นปัจจัย และเราจะรู้ได้อย่างไร ก็ต้องศึกษาเพื่อกำจัดอวิชชา การศึกษานั้นเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ปัญญามีถึง ๓ ขั้น คือ ปัญญาเกิดจากการฟัง ปัญญาเกิดจากการคิด ปัญญาเกิดจากการเจริญภาวนา

    สุ. ต้องเป็นเรื่องของโมหะ ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    ถ. โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นโดยอาศัยอวิชชาเป็นเหตุ องค์ธรรมปรมัตถ์ ของอวิชชาคืออะไร

    สุ. คือ โมหเจตสิก ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ถ. โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นโดยอาศัยอารมณ์ได้ไหม

    สุ. ได้ หมายความว่า ขณะที่เห็นไม่รู้ความจริงว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพรู้ซึ่งกำลังเกิดดับ และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตากำลังเกิดดับด้วย ถ้ารู้อย่างนี้จริงๆ อวิชชาหรือโมหะก็คลายลง แต่ก่อนที่จะรู้อย่างนี้ได้ ต้องฟัง พระธรรมเรื่องของสภาพธรรมมากทีเดียว

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1843


    หมายเลข 14080
    28 พ.ย. 2568