ละเลยปรมัตถธรรม
สุ. ขณะนี้ไม่ต้องไปแสวงหานามธรรมและรูปธรรมที่ไหนเลย นี่แน่นอนที่สุด สำหรับผู้ที่เข้าใจสภาพธรรม ขณะนี้ต้องมีนามธรรมและรูปธรรม และต้องมีนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏด้วย
อย่างทางตา ขณะนี้เป็นรูปที่กำลังปรากฏ และสภาพที่รู้หรือเห็นสิ่งที่ปรากฏ ลักษณะรู้ อาการรู้ที่กำลังเห็นในขณะนี้เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น อาการปรากฏ ของนามธรรม ก็คือเป็นสภาพรู้หรือเป็นธาตุรู้ซึ่งกำลังเห็น เวลานอนหลับไม่เห็น แต่ขณะนี้ตื่นขึ้นเห็น สภาพเห็นนี้เป็นอะไร ก็เป็นธรรม เป็นของจริงอย่างหนึ่งซึ่งเป็นแต่เพียงอาการรู้ หรือธาตุรู้
เพราะฉะนั้น ในขณะที่สติระลึกที่ลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรม ขณะนี้ ไม่ใช่การรู้ชัดประจักษ์แจ้งในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนของรูปที่กำลังปรากฏทางตาและนามที่กำลังเห็นหรือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ใช่ไหม
พระคุณเจ้า ใช่
สุ . เพราะว่าโดยปกติก่อนที่สติจะระลึกที่สภาพที่ปรากฏทางตา เห็น เป็นคน เห็นเป็นสัตว์ เห็นเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ละเลยปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่เพียงปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาท นี่คือของจริงที่สุดว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาจะต้องเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่กระทบกับจักขุปสาทแล้วปรากฏ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ถ้าไม่ใช่มีการคิดนึกต่อจากนั้น จะเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นเอง [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1599]
พระคุณเจ้า ถ้าสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏแล้ว ขณะนั้นเป็นปรมัตถธรรม คือเป็นรูป
สุ. ขณะนี้ก็เป็นรูป สภาพธรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็คือรูป สิ่งที่ปรากฏทางกายก็คือรูปคือแข็ง แต่ปัญญาจะสมบูรณ์จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งความไม่ใช่ตัวตน
พระคุณเจ้า แต่ก็แตกต่างกันกับขณะนี้ ถ้าสติปัฏฐานระลึกถูก ขณะนั้นก็มี สภาพธรรมเกิดขึ้น
สุ. ปรากฏทีละอย่าง ขณะนี้ไม่ได้ปรากฏทีละอย่าง แม้ว่ากำลังเห็นอย่างนี้ก็ได้ยิน นี่ไม่ชื่อว่าปรากฏทีละอย่าง เพราะว่าสติเพิ่งจะเริ่มระลึกลักษณะของ ปรมัตถธรรม คือ กำลังจะแยกสภาพที่เป็นปรมัตถธรรมกับบัญญัติที่เคยยึดถือ ปรมัตถธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเป็นตัวตน จนกว่าเมื่อไรแยกออก เมื่อนั้น สภาพธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริง โดยสภาพที่ไม่มีตัวตนเลยจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ละทาง แต่ตราบใดที่ยังปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ในความทรงจำ เป็น อัตตสัญญา ขณะนั้นไม่ใช่สภาพธรรมปรากฏโดยความเป็นอนัตตา
