รักษาศีลเพื่อขัดเกลากิเลส
ถ. การที่อุบาสิกาฉันนมโคหรือนมกล่อง ถือว่าผิดศีลวิกาลโภชนาหรือเปล่า
อ.สมพร นมนี่ยังบัญญัติว่าเป็นอาหารอยู่ ถ้าเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์จริงๆ เราต้องอดทน งดเว้น ถ้ามีความจำเป็นก็ฉันอย่างอื่น เช่น น้ำ ซึ่งไม่ห้าม ถ้าเราเสียสละแล้ว เสียสละการงาน หันมาถือศีลที่สูงแล้ว เราต้องยอม ต้องอดทน ไม่ใช่มาบวชแล้ว หรือมาถือศีลมากข้อแล้ว แต่ยังไม่ยอม คือ ยังเห็นแก่ตัว เห็นแก่โลภะ ความอยากเป็นโลภะ ความจริงเรื่องอาหาร เวลาเย็นไม่จำเป็นเท่าไร ในเมื่อ เรากินอาหารเพียงพอแล้วตอนกลางวัน อาหารตอนเย็นพระองค์ตรัสว่า ไม่มีความจำเป็นเท่าไร ถ้าเรากินอาหารมาก การปฏิบัติทางจิตของเราจะไม่ค่อยได้ผล เพราะว่าอาหารเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโลภะได้ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1840]
สุ. เพื่อประโยชน์ในการรักษาศีลเพิ่มขึ้น ที่ถามเรื่องนมและใช้คำว่า ฉัน สำหรับอุบาสิกา
จริงๆ แล้วผู้ที่บวช ไม่ว่าจะบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ เป็นผู้ที่รักษาศีลเพื่อขัดเกลากิเลส ถ้าจะเทียบกับคนที่ไม่ได้บวชอย่างพวกคฤหัสถ์ธรรมดาซึ่งมีศีล ๕ เป็นนิจศีล ผู้ใดที่รักษาศีลแต่ละข้อๆ ผู้นั้นก็รู้จุดมุ่งหมายของตนเองว่า เพื่อขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น ตั้งแต่ศีลข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๕ การวิรัติทุจริต หรือวิรัติ การดื่มน้ำเมา ก็เพื่อขัดเกลากิเลส และกิเลสก็มีมาก บางอย่างก็เป็นความติดข้องยินดี ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในความสนุกสนานรื่นเริงต่างๆ ซึ่งก็คือ โลภะหรือตัณหา หรือกิเลสบางอย่าง เช่น ความเห็นผิด ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง หรือมานะ ความสำคัญตน เพราะฉะนั้น ผู้ที่บวชต้องเป็นผู้ที่ละ หรือพยายามที่จะขัดเกลากิเลสทุกประเภท
สำหรับผู้ที่บวช คือ ผู้ที่รักษาศีลเพิ่มจากศีล ๕ และอุบาสิกาในยุคนี้ไม่มีทาง เป็นบรรพชิตได้ ไม่ว่าจะมีศีลจำนวนเท่าไรก็ตาม ก็เป็นเพียงอุบาสิกาเท่านั้น ผู้ที่เป็นอุบาสิกาถึงแม้ว่าจะรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ หรือบางท่านอาจมีศรัทธารักษาถึง ศีล ๑๐ ก็ตาม แต่โดยฐานะของเพศ ก็ยังคงเป็นอุบาสิกา
ถ้าทุกท่านได้ระลึกว่า การบวชเพื่อขัดเกลากิเลส ขัดเกลาความสำคัญตน หรือความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ขัดเกลาความยินดีในลาภสักการะ ในคำสรรเสริญ ในเกียรติยศ ในชื่อเสียง ก็จะทำให้ทุกท่านเป็นผู้ที่เบาสบายด้วยศีลที่รักษา ไม่มีความเดือดร้อน
สำหรับอุบาสิกา เมื่อรักษาศีลมาก ก็ต้องเป็นผู้ที่อ่อนน้อมมากขึ้นตามศีล ยิ่งมีศีลมากเท่าไร ก็ย่อมมีความประพฤติที่อ่อนน้อมมากเท่านั้น ดังเช่นผู้ที่ควรจะ ยกเป็นตัวอย่าง คือ ท่านพระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครสาวก ในบรรดาพระสาวกทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดมีปัญญาเท่าท่านพระสารีบุตร แต่แม้กระนั้นเพราะท่านเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมด ความประพฤติหรือความรู้สึกในใจของท่านพระสารีบุตรนั้น เป็นผู้ที่นอบน้อมหรือ อ่อนน้อมอย่างยิ่ง แม้แต่กับสามเณรที่ได้เรียนชี้แจงในเรื่องการนุ่งห่มสบงจีวรของท่าน ท่านก็ถือว่าเป็นผู้มีประโยชน์ที่ได้ทำคุณแก่ท่าน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน จะออกไป ข้างนอกพระอารามก็ตาม ท่านก็มีความรู้สึกว่า ตัวท่านเหมือนลูกคนจัณฑาลซึ่งต้อง มีความสงบเสงี่ยม ความอ่อนน้อมอย่างยิ่งกับบุคคลอื่น หรือเหมือนโคเขาขาด ที่ไม่สามารถไปต่อสู้หรือไปทำร้ายใครได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความสงบเสงี่ยม มีความเรียบร้อยด้วย
เพราะฉะนั้น ยิ่งมีศีลมาก ผู้นั้นต้องมีความขัดเกลามาก มีความสงบเสงี่ยมมาก มีความอ่อนน้อมมาก
และสำหรับอุบาสิกา ไม่ควรใช้คำว่า ฉัน
