นั่นคือการท่อง การจำ


    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมเพื่อประโยชน์อะไร นี่สำคัญที่สุด เพื่อให้จำ หรือว่าเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ้าเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้จำ ก็จะมีการอ่าน หรือการฟัง และท่องจำ แต่ไม่ได้พิจารณาให้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า เป็นจริงตามที่ทรงแสดงไว้หรือไม่

    อย่างเช่น ทรงแสดงว่า ขณะเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ถ้าท่องว่า ทุกขอริยสัจได้แก่จิตกี่ดวง ได้แก่เจตสิกกี่ดวง ได้แก่รูป เพื่อที่จะจำ ก็ไม่เข้าใจ พุทธประสงค์ที่ทรงแสดงเรื่องของจิตกี่ดวงที่เป็นทุกขสัจว่า ไม่ว่าจะเป็นจิตใดก็ตาม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ที่ทรงแสดงว่าจำนวนเท่านั้นก็เพื่อว่า ในขณะนี้เองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น จิตเห็นในขณะนี้ก็รวมอยู่ในทุกขสัจ จิตได้ยินในขณะนี้ จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส โลภะ โทสะ หรือกุศลต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ก็รวมอยู่ในจิตที่เป็น ทุกขอริยสัจ

    เพราะฉะนั้น แทนที่จะท่องจำจำนวน ก็ให้รู้พระพุทธประสงค์ที่ทรงแสดง ทุกขสัจได้แก่จิตอะไรบ้างนั้นว่า เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่ไม่ใช่ตัวตน ตามข้อความใน อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต โยธาชีววรรคที่ ๔ อุมมังคสูตร ข้อ ๑๘๖ ที่ว่า

    … รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแห่งคาถา ๔ บาทแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไซร้ ก็ควรเรียกว่า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ฯ

    ไม่ใช่การจำได้มากๆ โดยไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไร จะสั้นสักเพียงไรก็ตาม ขอให้เข้าใจในอรรถนั้นจริงๆ ให้เป็นผู้ รู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแห่งคาถา ๔ บาทนั้นแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควร แก่ธรรม คือ สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะทรงแสดงเรื่องของโลภะ สติระลึกลักษณะของโลภะ ทรงแสดงเรื่องของโทสะ สติระลึกลักษณะของโทสะ ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม จึงเป็นพหูสูต

    แต่ถ้าโลภมูลจิตมีกี่ดวง ประกอบด้วยเจตสิกเท่าไร และไม่ระลึกลักษณะของโลภมูลจิต ขณะนั้นก็ไม่สามารถเข้าใจในสภาพที่เป็นเพียงจิต แต่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนได้ ถ้าโดยนัยนั้น จะรู้มากเท่าไรก็ไม่ใช่พหูสูต เพราะไม่รู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นความจริงอย่างนั้นๆ สามารถพิสูจน์ได้ในขณะที่โลภมูลจิตเกิดโดยระลึกรู้ตามความเป็นจริงตามที่ทรงแสดง สามารถรู้ทั่วถึงในความหมาย ในอรรถของสภาพธรรมนั้น ก็เป็นพหูสูต

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องละเอียดที่จะต้องรู้ว่า เป็นการรู้ทั่วถึงในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมและบัญญัติธรรมนั่นเอง สามารถแยกรู้ได้ว่า สุขทุกข์ในวันหนึ่งๆ นี้ เกิดจากปรมัตถธรรม หรือว่าเกิดจากบัญญัติธรรม

    ถ้าเป็นบัญญัติธรรม ก็หลงสุข หลงทุกข์ในสิ่งซึ่งไม่มีอะไรเป็นของจริง นอกจากเป็นการคิดนึกเท่านั้นเอง เหมือนสัญญา คือ กำมือเปล่า ซึ่งทำให้เกิดความหวังว่า มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เมื่อปรากฏตามความเป็นจริงก็ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ปรมัตถธรรม ก็ยังคงอยู่ในโลกของบัญญัติ และไม่สามารถประจักษ์ทุกขสัจซึ่งท่องว่า ได้แก่จิตเท่าไร ได้แก่เจตสิกเท่าไร ได้แก่รูป นั่นคือการท่อง การจำ แต่ไม่สามารถประจักษ์ทุกขสัจได้ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1601]


    หมายเลข 14061
    24 ก.ย. 2568