รู้ย่อมดีกว่าไม่รู้ เพียงเท่านี้ก็ยาก


    . จากการศึกษาเรื่องจิต นอกจากทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กายแล้ว นอกจากนั้นจิตก็เกิดทางมโนทวาร เกิดทางหทยวัตถุ

    สุ. ขอประทานโทษ มโนทวารไม่ใช่หทยวัตถุ

    . เมื่อพูดถึงทหยวัตถุ ก็นึกถึงหัวใจทุกทีว่า จิตจะต้องเกิดตรงนี้แหละ

    สุ. แสดงว่าอย่างไร ทราบไหม

    . แสดงว่า เรายังติดข้องอยู่ในหัวใจ

    สุ. ยังยึดถือว่าเป็นร่างกายของเราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า จนรู้ว่าหัวใจอยู่ตรงไหน ใช่ไหม

    ถ. ตามที่ศึกษาจากอาจารย์ ผมเข้าใจว่า จิตเป็นธรรมชาติที่นึกคิด เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ไม่มีตัวมีตน แต่ก็ยังนึกว่ามีตัวมีตนอยู่ในนี้ ซึ่งความจริงแล้วไม่มี เป็นสภาวธรรม เป็นสังขตธรรม เกิดขึ้นเพราะมีเหตุมีปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย จิตก็เกิดไม่ได้ ความเข้าใจของผมอย่างนี้ ตรงกับที่อาจารย์สอนหรือเปล่า

    สุ. เป็นความเข้าใจตรง แต่ควรจะถึงขั้นประจักษ์แจ้งด้วย เรื่องความเข้าใจทุกคนเข้าใจ จิตเห็นในขณะนี้เกิดทันทีที่รูปกระทบกับจักขุปสาท และทันทีที่ จักขุปสาทและรูปารมณ์ที่กระทบดับไป ก็ไม่มีการเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือ รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาเลย นี่ขั้นความเข้าใจ แต่ต้องประจักษ์แจ้ง

    ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค อรรถกถาอุทยัพพยญาณนิทเทส ข้อ ๑๐๓ – ๑๑๑ มีข้อความว่า

    การรวมเป็นกองก็ดี การสะสมก็ดี ย่อมไม่มีแก่ขันธ์ที่ยังไม่เกิดก่อน แต่ขันธ์เหล่านี้เกิด

    หมายความว่าไม่ใช่มีขันธ์สะสมรวมกันเป็นกองไว้ก่อนที่จะเกิด ไม่ใช่อย่างนั้น การรวมเป็นกองก็ดี การสะสมก็ดี ย่อมไม่มีแก่ขันธ์ที่ยังไม่เกิดก่อนแต่ขันธ์เหล่านี้เกิด คือ ไม่ใช่ไปสะสมเอาไว้ที่หนึ่งที่ใด

    ชื่อว่าการมาโดยรวมเป็นกอง โดยความสะสม ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่เกิดขึ้น

    ในขณะที่เกิด ก็ไม่ใช่รวมเป็นกองไว้แล้วเกิดขึ้น แต่ต้องมีเหตุปัจจัยที่ ขันธ์เหล่านั้นแต่ละขันธ์จะเกิด

    ชื่อว่าการไปสู่ทิศน้อยใหญ่ ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับ ชื่อว่าการตั้งลง โดยรวมเป็นกอง โดยสะสม โดยเก็บไว้ในที่แห่งหนึ่ง ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับแล้ว เหมือนนักดีดพิณ เมื่อเขาดีดพิณอยู่ เสียงพิณก็เกิด มิใช่มีการสะสมไว้ก่อนเกิด เมื่อเกิดก็ไม่มีการสะสม การไปสู่ทิศน้อยใหญ่ของเสียงพิณที่ดับไปก็ไม่มี ดับแล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่สะสมคงไว้ ที่แท้แล้วพิณก็ดี นักดีดพิณก็ดี อาศัยความพยายาม อันเกิดแต่ความพยายามของนักดีดพิณ ไม่มีแล้วยังมีได้ ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ ฉันใด ธรรมมีรูปและไม่มีรูปแม้ทั้งหมดก็ฉันนั้น ไม่มีแล้วยังมีได้ ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ ผู้อบรมเจริญปัญญาย่อมเห็นด้วยประการฉะนี้แล

    ย่อมเห็น ไม่ใช่เพียงเข้าใจ และเป็นความจริงอยู่ทุกๆ ขณะนี้ แต่เมื่อปัญญายังไม่เกิด ก็ไม่มีสภาพธรรมอื่นใดที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะจริงๆ ของ ปรมัตถธรรมซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    ตราบใดที่อวิชชามีปัจจัยเกิดขึ้น อวิชชาก็เป็นสภาพไม่รู้ ทำอย่างไรๆ จะให้อวิชชารู้ปรมัตถธรรม รู้ในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง

    ในขณะที่เข้าใจพระธรรม พอจะเห็นลักษณะของปัญญาเจตสิกหรืออโมหะ ได้ไหมว่า ขณะที่ไม่ได้ฟัง ไม่ได้พิจารณา เป็นความไม่รู้ แต่ขณะที่รู้และเข้าใจ เป็นขณะที่ต่างกับขณะที่ไม่รู้และไม่เข้าใจ

    . เรื่องประจักษ์แจ้ง เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าชาตินี้จะ ประจักษ์แจ้งหรือเปล่า

    สุ. ชาตินี้ คือ เดี๋ยวนี้ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า ตรงนี้เอง ไม่ต้องคิดไปไกล แต่ในขณะนี้เอง สติเกิด ระลึกลักษณะของสภาพธรรม และเข้าใจในสภาพที่ได้ยินได้ฟังมาโดยตลอด ไม่ใช่แต่ในชาตินี้ชาติเดียว คำว่า นามธรรมและรูปธรรม จะต้องได้ยินต่อไปอีก เพราะจะต้องถึงขั้นที่ไม่ยึดถือว่านามธรรมและรูปธรรมนั้นเป็นตัวตน

    ผู้ฟัง เรื่องเข้าใจธรรม แม้แต่ขั้นเข้าใจก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง และเรื่องประจักษ์ธรรมตามที่เข้าใจแล้วก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ไม่ทราบว่ากี่ร้อยกี่พันเท่า จนกระทั่งสมัยนี้มองเห็นกันแล้วว่า ไม่มีใครสามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้จริงๆ ผมก็เคยบวช เมื่อบวชอยู่ก็ไม่ได้ศึกษาธรรมจริงๆ จังๆ เพื่อให้เข้าใจอรรถจะได้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ประจักษ์แจ้ง ไม่ได้มีความคิดอย่างนี้เลย การศึกษา สมัยนี้ควรจะเปลี่ยนทัศนะใหม่ ไม่ใช่ไปศึกษาเอาชั้นเอาภูมิกัน ซึ่งเมื่อได้มาแล้ว ก็ไม่เห็นได้อะไร นอกจากลาภ ยศ สรรเสริญที่จะได้มาเท่านั้นเอง

    เรื่องประจักษ์แจ้งนี้ ถ้าใครสามารถประจักษ์แจ้งได้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า ใครประจักษ์แจ้งแล้ว ถ้าหากมีเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาให้เห็น ก็จะเป็นการดึงดูดศรัทธาของประชาชนในสมัยนี้เป็นอย่างมาก

    สุ. เป็นไปได้หรือ เพราะคำกล่าวอ้างต่างๆ จะทำให้เกิดความเห็นผิดหรือเห็นถูก เพียงคำกล่าวอ้าง

    ผู้ฟัง ก็อาจจะเป็นไปได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ มีคนพยายามไปสร้างให้หลวงพ่อหลายองค์สำเร็จมรรคผล ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเข้าใจผิดได้ และเรื่องการประจักษ์แจ้งนี่ จะไปเร่งรัดว่า จะเอาให้ได้วันนี้ พรุ่งนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้

    สุ. แม้แต่ฉันทะที่จะเจริญสติปัฏฐาน ก็ยังเร่งไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องการบังคับ ไม่ใช่เรื่องการชักชวน ไม่ใช่เรื่องการเร่งเร้าที่จะให้ใครเกิดศรัทธาที่จะเจริญ มรรคมีองค์ ๘ เพราะว่าทุกคนก็หนักๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ได้เบาเลย หนักด้วยกิเลส

    ปุถุ ความหนาแน่นด้วยกิเลส เพราะฉะนั้น จะชวนกันให้ละกิเลสเป็นเรื่องยาก แต่ชักชวนให้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ให้ศึกษาและเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยไม่ต้องมีใครชักชวน เพราะว่าสภาพธรรมทั้งหลายต้องมีเหตุปัจจัยที่จะเกิด จึงเกิดขึ้นได้

    ถ้ามีญาติพี่น้องที่กำลังมีชีวิตเพลิดเพลินในทางโลก และจะบอกให้เขาไปนิพพาน หรือบอกให้เขาดับกิเลส เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ชักชวนให้ฟังธรรม ให้เข้าใจก่อน และแล้วแต่ว่าใครจะมีปัจจัยเจริญหนทางข้อปฏิบัติที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ใช่ว่าต้องให้ถึงนิพพาน เพียงให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ มีฉันทะ มีความพอใจหรือยังที่จะเป็นผู้ที่รู้ ดีกว่าไม่รู้ ลักษณะของสภาพธรรมปรากฏแล้ว รู้ย่อมดีกว่าไม่รู้ เพียงเท่านี้ก็ยาก ถ้าผู้นั้นไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่เห็นว่าเป็นประโยชน์ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1598]


    หมายเลข 14054
    22 ก.ย. 2568