การแสดงธรรม เป็นเรื่องที่ยาก
ถ. ผมได้ฟังอาจารย์ และเข้าใจในเรื่องการแสดงธรรมว่า ถ้าเราฟังแล้ว ยังไม่เข้าใจ ก็ให้ฟังต่อไป จนกว่าสติในขั้นการฟังจะเกิดขึ้นและมีความเข้าใจ ผมก็ คิดว่าอย่างนั้น ต่อมาผมได้ทราบว่า มีผู้แสดงธรรมพูดเป็นทำนองว่า สูงเกินไป และ พยายามนำธรรมนั้นมาพูดง่ายๆ โดยไม่นึกถึงว่า ถ้าไม่เข้าใจ ก็น่าจะแนะนำให้ ฟังธรรมต่อๆ ไปให้เข้าใจ วันนี้อาจารย์คุยในเรื่องนี้ ก็รู้สึกตัวว่า อกุศลจิตเกิดขึ้น ลักษณะอย่างนี้ เราควรจะช่วยเหลือบุคคลผู้นั้นอย่างไร
สุ. และช่วยเหลือตัวเราหรือเปล่า
ถ. ตัวเองก็ทราบว่า ในขณะนั้นก็มีกุศลเกิดขึ้นบ้างเป็นบางครั้งบางคราว และอกุศลก็เกิดขึ้น แล้วแต่อันไหนจะเกิดขึ้นมาก และก็หลงลืมสติไป แต่เมื่อมาฟังอาจารย์วันนี้ ก็เกิดความรู้สึกว่า น่าจะเรียนถามอาจารย์ว่า ลักษณะอย่างนี้ เราควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรจึงจะสมควร
สุ. ในสูตรที่กล่าวถึงที่มีข้อความว่า ข้อที่ไม่มีภิกษุผู้กล่าวสอนนี้ เป็นความเสื่อมโทรม ข้อนี้ก็น่าพิจารณา เพราะส่วนใหญ่ท่านจะเห็นความผิดของ คนอื่น แต่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงให้เห็นความผิดของคนอื่นเลย กลับมีข้อความว่า ข้อที่ไม่มีภิกษุผู้กล่าวสอนนี้เป็นความเสื่อมโทรม กล่าวสอนใคร ถ้าไม่ใช่กล่าวสอนตนเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีใครกล่าวสอนผู้หนึ่งผู้ใด เป็นความกรุณาของผู้นั้น เป็นความเมตตาของผู้นั้น เป็นความหวังดีของผู้นั้น แต่ในเมื่อยังมีกิเลสอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ก็ไม่ควรคิดถึงแต่เพียงกิเลสของคนอื่น จะต้องคิดถึงกิเลสของตนเองด้วย
และสำหรับเรื่องของการแสดงธรรม เป็นเรื่องที่ยาก ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ไม่ว่า ในกาลสมัยไหนทั้งสิ้น เพราะว่าแต่ละท่านก็มีอัธยาศัยต่างๆ กัน ไม่ได้เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น ถ้ามีหลายท่านพยายามช่วยกัน และสามารถทำให้ใครเข้าใจธรรมได้ ก็น่าอนุโมทนาในความสามารถของท่านผู้นั้น เพราะว่าบางท่านอาจจะทำให้ท่านผู้นี้เข้าใจได้ อีกท่านหนึ่งอาจจะทำให้ท่านผู้นั้นเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่สามารถทำให้ใครเข้าใจธรรมขึ้น ย่อมเป็นประโยชน์
ถ้าเพ่งเล็งถึงในแง่นี้ จะเห็นได้ว่า แต่ละท่านมีความสามารถที่จะรับธรรมได้ ไม่เท่ากัน แต่ใครจะเป็นผู้ทราบดีว่าบุคคลใดควรจะรับธรรมขั้นใด ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่คุ้นเคยก็ยาก ถ้าเป็นผู้ที่คุ้นเคยก็อาจจะพอรู้ได้ว่า สำหรับบุคคลผู้นี้อย่าไปพูดเรื่อง สติปัฏฐานเลย เขายังไม่สนใจแน่ๆ แม้แต่เรื่องทาน บางท่านก็อย่าได้มาพูด เพราะว่าไม่สนใจก็มี
ได้ฟังจากท่านผู้หนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า มีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งท่านเป็นผู้ที่ มั่งมีมาก แต่ใครอย่าบอกให้ท่านทำบุญ ไม่ได้เลย แม้แต่เวลาที่จะไปทอดกฐิน ก็นำเอาผ้าไตรไปให้ท่านอนุโมทนา แต่ไม่ได้ให้ท่านทำบุญ เพียงให้อนุโมทนา ซึ่งท่านก็รับผ้าไตรและอนุโมทนา และเมื่อบุตรหลานเอาผ้ากฐินนั้นไปทอดให้ ท่านก็ยังถามด้วยความห่วงใยว่า คณะกฐินกลับมาหรือยังๆ ใน ๒ วันที่ไป และท่านก็สิ้นชีวิต ทั้งๆ ที่เรื่องทาน ใครอย่าไปบอกให้ท่านทำ ท่านไม่ทำ แต่แม้กระนั้น กุศลจิตก็ยังเกิดเวลาที่มีผู้ให้ผ้าไตรสำหรับอนุโมทนาในกฐินนั้น
เพราะฉะนั้น แต่ละคนควรจะคำนึงถึงประโยชน์ของผู้รับพระธรรมว่า สำหรับบางท่านเรื่องสติปัฏฐานอาจจะไม่มีประโยชน์ ยังไม่ถึงกาลที่บุคคลนั้นจะสนใจ ถ้าพูดไปก็ว่างเปล่า เหนื่อยเปล่าด้วย หรือแม้แต่เรื่องทาน สำหรับผู้ที่ไม่ยินดีในทาน ยังไม่ถึงกาลที่เห็นประโยชน์ ก็ยังพูดไม่ได้เลย [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1579]
