เป็นของจริง ก็ต้องมีลักษณะจริงๆ
ถ. ที่ท่านกล่าวไว้ในธาตุมนสิการบรรพนั้น ท่านบอกให้รู้ดิน รู้น้ำ รู้ไฟ รู้ลม การรู้อย่างนี้ถ้าเราไม่เอาลักษณะของดิน ของไฟ ของลม ของน้ำแล้วเราจะรู้อะไร คือ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ลักษณะ จึงจะรู้ว่าอย่างนี้คือดิน หรืออย่างนี้คือไฟ อย่างนี้คือลม มีอาการ หรือลักษณะปรากฏให้เราสามารถรู้ได้ทางกาย ก็สมควรที่จะรู้ลักษณะอย่างนั้น หรือว่าไม่จำเป็นจะต้องรู้ลักษณะอย่างนั้น
สุ. การเจริญสติปัฏฐานเป็นการรู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ที่ใช้คำว่าดิน หรือปฐวีธาตุ ก็หมายความถึงสภาพของจริงที่มีลักษณะอ่อนหรือแข็งที่จะเป็นธาตุ เป็นของจริง ก็ต้องมีลักษณะจริงๆ ธาตุดินก็ปรากฏทางกาย ธาตุไฟ ธาตุลมก็ปรากฏที่กาย [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 133]
เปิดฟัง ...
เปิดอ่าน ... กำลังนั่งอยู่อย่างนี้มีอะไรปรากฏบ้าง
ถ. สำหรับธาตุ ๔ ที่ท่านพูดไว้ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ท่านก็พูดเพียงแต่ว่า รู้ดิน รู้น้ำ รู้ไฟ รู้ลม ตามตำราที่ท่านสอน คือ ปฐวีธาตุมีลักษณะอย่างไร เตโชมีลักษณะอย่างไร อาโปมีลักษณะอย่างไร ถ้าไม่มีลักษณะอ่อนหรือแข็งให้เรารู้ เราก็ไม่สามารถจะไปรู้ถึงว่านี้คือดินปฐวีได้ เช่นเดียวกับอิริยาบถ ๔ ท่านบอกว่า ให้รู้ชัดในการยืน เดิน นั่ง นอน ถ้าเราไม่รู้มหาภูตรูปที่เรายืน เดิน นั่ง นอนนี้ เราจะรู้อะไร เราก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เราก็ต้องรู้ลักษณะอยู่นั่นเอง เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่
สุ. กำลังนั่งอยู่อย่างนี้มีอะไรปรากฏบ้าง มีแข็ง อ่อนปรากฏที่ไหน ที่กายกระทบส่วนหนึ่งส่วนใด ไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าจะนึกเป็นท่าเป็นทาง ไม่มีลักษณะที่ปรากฏที่กาย หรือว่าที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้นเลย
โคจรรูป ๗ หรือวิสยรูป คือ รูปที่เป็นอารมณ์ มี ๗ รูป คือ สีเป็นอารมณ์ทางตา เสียงเป็นอารมณ์ทางหู กลิ่นเป็นอารมณ์ทางจมูก รสเป็นอารมณ์ทางลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึงไหวเป็นอารมณ์ทางกาย ๗ รูป ทางใจไม่ใช่รู้รูปอื่น ก็รู้สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในเมื่อมีรูปซึ่งมีลักษณะปรากฏให้รู้แล้วไม่รู้ ก็ไม่สามารถรู้ชัดในลักษณะของรูปได้
