สัญญากับนึกคิด


    มีท่านผู้ฟังเขียนความเห็นมา ๓ ข้อ และคำถาม ๔ ข้อ

    ข้อ ๑. สัญญากับนึกคิดนั้นต่างกัน คือ ตามที่ปรากฏ สัญญาเกิดขึ้นได้ ทุกขณะเมื่อรับอารมณ์ แม้มิได้ตั้งใจสัญญาก็เกิดขึ้นได้ ส่วนนึกคิดนั้นเกิดทาง มโนทวารหลังจากที่รับอารมณ์แล้ว และขณะที่นึกคิด ก็รับอารมณ์ของนึกคิดทาง มโนทวารพร้อมกันไปด้วย (เฉพาะทวารนี้อารมณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน เรียกว่า รับบัญญัติอารมณ์) แต่นึกคิดต้องอาศัยสัญญาที่เกิดมาประกอบ (สัญญาที่เกิดขึ้น ทั้งในช่วงที่เป็นภวังค์ และในช่วงที่นึกคิด)

    สุ. มากไปไหม หรือว่าน้อยไป หรือว่าพอดีแล้ว แต่ละเรื่องๆ ก็เป็นเรื่องที่ แล้วแต่ฉันทะที่จะเห็นด้วย หรือสนใจในสิ่งที่ท่านผู้อื่นสนใจหรือเปล่า อย่างเรื่องนี้ เป็นเรื่องของสัญญาเจตสิก กับจิตที่คิดนึกทางมโนทวาร

    การศึกษาธรรม ถ้าเว้นพยัญชนะหรือข้อความที่สับสน และพยายามเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และศึกษาประกอบเพื่อให้เข้าใจละเอียดขึ้น ถูกต้องขึ้น ก็เป็นประโยชน์ อย่างสัญญาเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง ขณะที่เกิดกับวิบากจิต สัญญานั้นก็เป็นวิบาก ขณะที่เกิดกับกิริยาจิต สัญญานั้นก็เป็นกิริยา ขณะที่เกิดกับกุศลจิต สัญญานั้นก็เป็นกุศล ขณะที่เกิดกับอกุศลจิต สัญญานั้นก็ เป็นอกุศล ขณะที่เกิดขึ้นกับวิถีจิตทางตาก็เป็นสัญญาทางตา คือ จำสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ขณะที่เกิดกับวิถีจิตที่เกิดขึ้นทางหู รู้อารมณ์ทางหู ขณะนั้นก็เป็นสัญญา คือ การจำสิ่งที่ปรากฏทางหู

    ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยนัยเดียวกัน

    อย่างนี้พอที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ไหม เรื่องของสัญญาที่เกิดกับจิตทุกดวง ทุกประเภท แต่ในขณะที่เป็นปัญจทวารวิถี คือ กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาที่ยังไม่ดับ กำลังได้ยินเสียงที่ปรากฏทางหูที่ยังไม่ดับ เสียงยังไม่ดับ อารมณ์ยังไม่ดับ ขณะที่กำลังได้กลิ่นทางจมูกซึ่งกลิ่นที่ปรากฏยังไม่ดับ ขณะที่กำลังลิ้มรสที่ปรากฏทางลิ้น คือ รสนั้นยังไม่ดับ ขณะที่รู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส คือ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวทางกายที่ยังไม่ดับ ขณะนั้นไม่ใช่การคิดนึก

    เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องคิดมากมายให้สับสน คือ ต้องเข้าใจลักษณะของสัญญาเจตสิก และสภาพของจิตทางมโนทวารซึ่งคิดนึก

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1610


    หมายเลข 14133
    28 พ.ย. 2568