ลักษณะของโลภเจตสิก สราคจิต


    ขอกล่าวสรุปถึงสราคจิตซึ่งมีเป็นประจำ แต่ถ้าไม่เจริญสติปัฏฐาน ไม่มีโอกาสที่จะรู้ลักษณะของสราคจิตเลย เพราะโดยมากเวลาที่เกิดโทสมูลจิต ความไม่แช่มชื่นของใจ ก็อาจจะระลึกได้ รู้ว่าเป็นลักษณะที่หยาบกระด้าง ขัดเคือง เป็นทุกข์ ไม่แช่มชื่น แต่โลภมูลจิตเกิดเป็นประจำตลอดเวลา ไม่มีโอกาสจะรู้เลยว่า โลภมูลจิตอยู่กับท่านจนชินจนกระทั่งไม่รู้เลยว่ามี เพราะความละเอียดลึกซึ้งของโลภะนี่เองจึงทำให้ไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆ นั้น พอกพูนสมุทยสัจจ์ที่ทำให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏะมากเท่าไร

    ลักษณะของโลภเจตสิก ใน วิสุทธิมรรค มีข้อความว่า

    อารมฺมณคหณลกฺขโณ มีความยึดอารมณ์เป็นลักษณะ

    อภิสงฺครโส มีความติดข้อง คือ ความแนบแน่น ตรึงให้ติดในอารมณ์นั้น เป็นรสะ คือ เป็นกิจ

    อปริจฺจาคปจฺจุปฏฺฐาโน มีการไม่บริจาค คือ ไม่สละ เป็นปัจจุปัฏฐาน

    สํโยชนิยธมฺเมสุ อสฺสาททสฺสนปทฏฺฐาโน มีการเห็น หรือดูแต่สิ่งที่พอใจในสังโยชนียธรรม เป็นปทัฏฐาน

    สำหรับความยินดีพอใจ คือ โลภเจตสิกที่ทรงแสดงไว้ คือ คำว่า ตัณหา นั้นก็มีความหมายเดียวกับโลภะนั่นเอง

    ตัณหา ๖ คือ โลภะ ๖ ได้แก่ โลภะที่เป็นไปในรูป สิ่งที่เห็นทางตา สัททะ คือ เสียงที่รู้ได้ทางหู คันธะ คือ กลิ่นที่รู้ได้ทางจมูก รสะ คือ รสที่รู้ได้ทางลิ้นโผฏฐัพพะ คือ สัมผัสที่รู้ได้ทางกาย ทางใจ คือ ธรรมตัณหา (ธรรมารมณ์) มีความยินดีต้องการในธรรม เป็นต้นว่าในสุขเวทนา ในขณะที่ต้องการสุขเวทนา อะไรเป็นธรรมชาติที่ต้องการในขณะนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เมื่อมีความต้องการเกิดขึ้น ก็เป็นสภาพของจริงชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้น มีลักษณะที่ทำให้ต้องการ พอใจในอารมณ์นั้น

    ตัณหา ๓ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

    ที่ทรงแสดงโดยละเอียดเป็นเพราะเหตุว่า สภาพธรรมเหล่านี้มีจริง แล้วก็เกิดกับแต่ละบุคคลตามการสะสมด้วย

    คำว่า กาม หมายความถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

    ที่เกิดในกามภูมินั้นเป็นเพราะว่า มีความยินดี มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่อมีความยินดี มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงยังไม่พ้นไปจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดอีกสักกี่ครั้งก็ตาม ก็จะต้องเกิดในภูมิที่เต็มบริบูรณ์พรั่งพร้อมไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และถ้าความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะยังไม่หมด ก็ยังจะต้องพอกพูนความพอใจยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ต่อไปนั่นเอง

    นั่นสำหรับที่ผู้มี กามตัณหา แต่ตัณหาก็ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ไม่ได้มีความพอใจอยู่เพียงในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ยังมีความยินดีพอใจที่เป็น ภวตัณหา คือ มีความพอใจในภพ ในชาติ ในขันธ์ ในการเห็น ในการได้ยิน ในการมีชีวิตดำรงอยู่ ส่วน วิภวตัณหา ได้แก่ ความยินดีที่เป็นไปกับความเห็นผิดที่เป็นอุจเฉททิฏฐิ คือเห็นว่า สภาพธรรมนั้นดับสูญไป ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น

    วิภังคปกรณ์ ธาตุวิภังค์ มีข้อความที่กล่าวถึงตัณหาที่เป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ว่า

    กามตัณหานั้น ได้แก่ ตัณหาในกามธาตุ กามธาตุก็ได้แก่ กามทั้งหลาย รวมทั้งกามาวจรจิตและเจตสิกด้วย

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าจะมีความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่เป็นอารมณ์ แม้จิตที่รู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น ก็ยังเป็นที่พอใจ อยากจะให้เห็นอีก ได้ยินอีก ได้กลิ่นอีก ได้สุขเวทนาอีก เหล่านี้เป็นต้น

    สำหรับ ภวตัณหา นั้นมีความหมาย ๒ อย่าง คือ

    ๑. ตัณหาในรูปธาตุและอรูปธาตุ

    ๒. ตัณหาที่เกิดร่วมกับภวทิฏฐิ ซึ่งได้แก่ สัสสตทิฏฐิ

    ภวตัณหา คือ ความยินดีพอใจที่ไม่ได้เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ อย่างท่านที่เจริญฌานเพราะเห็นโทษของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะว่าเป็นสิ่งที่เล็กน้อย ให้ความสุขได้ไม่นาน

    รูปก็ทำให้พอใจได้เพียงชั่วขณะที่เห็น เสียงก็ทำให้พอใจได้เพียงชั่วขณะที่ได้ยิน เล็กน้อยเหลือเกิน ปรากฏเพียงนิดเดียวแล้วก็ดับไป ทำให้จิตใจไหวหวั่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ความสุขแท้จริง เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเหล่านั้นเห็นโทษของการติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่จะทำให้ไหวหวั่นอยู่เรื่อยๆ ท่านก็เจริญความสงบจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จนกระทั่งถึงขั้นอัปนาสมาธิ เป็นรูปฌานจิต และอรูปฌานจิต

    ความยินดีพอใจไม่อยู่ที่หนึ่งก็ไปสู่อีกที่หนึ่ง เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ก็ยังเป็นภวตัณหา มีความชอบ มีความติด มีความพอใจในความสงบที่เป็นรูปฌานและอรูปฌานนั่นเอง

    ในอดีตชาติ ในวัฏฏะ มีท่านผู้ใดทราบบ้างว่า ท่านเคยติดในรูปฌานและอรูปฌานบ้างหรือเปล่า แต่ขอให้ทราบว่า ในภพนี้ชาตินี้เวลาที่ท่านยังไม่ได้ถึงรูปฌาน อรูปฌาน ท่านมีความต้องการความสงบบ้างไหม เป็นสิ่งที่เทียบเคียงได้แม้แต่ในการประพฤติการปฏิบัติของท่าน อย่างท่านที่จะเจริญสติปัฏฐาน แต่บางท่านอาจจะไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น แทนที่จะเจริญปัญญาให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ท่านกลับต้องการความสงบเสียก่อน ก็แสดงให้เห็นถึงกำลังความเหนียวแน่นของตัณหา

    สำหรับ วิภวตัณหา นั้น ได้แก่ ตัณหาที่เกิดร่วมกับอุจเฉททิฏฐินั่นเอง ใน ขุททกวิภังค์ คัมภีร์วิภังคปกรณ์ มีข้อความของตัณหาอีกหลายนัย เช่น

    กามตัณหา ได้แก่ ความยินดีในกามธาตุ ได้แก่ ความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ รวมทั้งกามาวรจิต เจตสิกด้วย

    รูปตัณหา ได้แก่ ความยินดีในรูปธาตุ ได้แก่ รูปาวจรธรรม

    อรูปตัณหา ได้แก่ ความยินดีในอรูปธาตุ ได้แก่ อรูปาวจรธรรม

    อีกนัยหนึ่ง

    รูปตัณหา คือ ความยินดีในรูปธาตุ

    อรูปตัณหา คือ ความยินดีในอรูปธาตุ

    สำหรับนิโรธตัณหานั้น เป็นอีกพยัญชนะหนึ่งของความยินดีที่เป็นโลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับอุจเฉททิฏฐิ

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ยินได้ฟังคำว่า นิโรธตัณหา มีความหมายเดียว คือ หมายความถึงโลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับอุจเฉททิฏฐิ ที่เป็นไปกับความเห็นผิดว่า ดับสูญ ไม่มีปัจจัยให้เกิดขึ้น

    ที่กล่าวถึงเรื่องของโลภเจตสิก หรือสราคจิตมาก เป็นเพราะเหตุว่าท่านที่ได้ฟังเรื่องของอริยสัจธรรมบ่อยๆ ว่า อริยสัจธรรมมี ๔ คือ ทุกขอริยสัจจะ ๑ ทุกขสมุทยสัจจะ ๑ ทุกขนิโรธ ๑ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ๑ สภาพที่เป็นทุกข์ คือ สภาพที่เกิดแล้วก็ดับ แต่ไม่ใช่หมายความว่าให้ท่านไปทุกข์ๆ โศกๆ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปฝืน หรือไปแสร้งเปลี่ยนแปลงจากตัวจริงๆ ของท่าน นี่เป็น ทุกขอริยสัจจะ

    แต่สำหรับสมุทยสัจจะ คือ โลภะ ที่ละเอียดมากและเหนียวแน่น เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ดังนั้น หนทางเดียวที่จะละได้ คือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันที ไม่ว่าในขณะนั้นจะเป็นความยินดีพอใจ เป็นสราคจิตเกิดขึ้น สติระลึกรู้ลักษณะสภาพของความยินดีพอใจทันทีว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปบังคับ ไปเปลี่ยนแปลงตัวของท่านให้เป็นอีกบุคคลหนึ่ง [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 142]

    บางท่านอาจจะคิดว่า การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ ดูเหมือนท่านไม่ได้ละอะไรเลย ท่านเคยมีความยินดีพอใจเป็นอัธยาศัยของท่านที่สะสมมา บางท่านก็ทางตา บางท่านก็ทางหู เป็นตัวของท่านจริงๆ แต่ว่าสติระลึกรู้สภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริงทีละเล็กทีละน้อยๆ และก็ละความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 142


    หมายเลข 13990
    28 พ.ย. 2568