ผู้ที่จะได้สาระจากพระธรรมจริงๆ


    ท่านอาจารย์ บางคนมีความสนใจธรรม มีปัญญาที่สามารถฟังแล้วรู้ว่า ธรรมใดถูกต้อง ธรรมใดผิด แต่ไม่ถึงกับจะประพฤติปฏิบัติตาม ซึ่งใครรู้ ตัวเองรู้ใช่ไหม ฟังพระธรรมจริง เข้าใจได้ว่า ธรรมที่ได้ยินได้ฟังตรงนี้ถูก หรือตรงนั้นผิด อย่างไรก็ตาม แต่เพราะไม่ได้สะสมกุศลมาที่จะประพฤติปฏิบัติตามด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นเพียงแค่ฟังเข้าใจ ซึ่งตัวเราเองสามารถรู้ที่จะได้ ใช่ไหม ละชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำไมอกุศลจึงเกิด บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ได้สะสมกุศลธรรมมาที่จะมีกำลังที่จะเข้าใจพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วรู้ว่า ถ้าไม่มีคำที่ได้ยินได้ฟัง เราสามารถเห็นโทษของอกุศลไหม และสามารถเห็นคุณ หรือประโยชน์ของกุศลไหม

    ถ้าเราฟังไม่พอ หรือไม่มีความมั่นคงที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เป็นธรรมอย่างเดียว ธรรมหลากหลายมาก อกุศลกับกุศลไม่มีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้องเลย อะไรเป็นธรรมที่ดี อะไรเป็นธรรมที่ไม่ดี นี่คือความเป็นผู้ตรง แต่ถ้าเป็นเรา มีข้อยกเว้นต่างๆ นานา อาจจะไม่ว่าง อาจจะเขาผิด เราไม่ผิด เป็นต้น ความคิดก็ไขว้เขวไปหมดเพราะไม่ตรง

    ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะได้สาระจากพระธรรมจริงๆ ก็มีความเข้าใจว่าเป็นธรรม แล้วเมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมแล้วยังมีกำลังของกุศลพอที่จะประพฤติปฏิบัติตามด้วย นั่นก็คือได้เป็นการสะสมอีกระดับหนึ่ง อีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ทำไมทุกคนก็รู้ว่า อะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นกุศล แต่ก็ยังมีอกุศลเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะเหตุว่าความรู้ และคุณธรรม หรือธรรมฝ่ายโสภณธรรมไม่พอ ที่จะทำให้มีความเพียร มีความมั่นคงที่จะรู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจริง และสามารถประจักษ์แจ้งได้ด้วย และถ้ารู้อย่างนี้ ค่อยๆ อบรมปัญญาเพิ่มขึ้น เพราะไม่ใช่เราที่สามารถที่จะเลือกที่จะประจักษ์แจ้งด้วยความขวนขวายมากมายแค่นั้นแค่นี้ ความพยายามเต็มที่ นั่นคือความไม่เข้าใจธรรมเพราะว่ามีความเป็นเรา และมีความต้องการด้วยที่เป็นเหมือนอัตตาที่บันดาลให้เกิดขึ้นตามความต้องการได้

    ธรรมจึงเป็นเรื่องละเอียด และเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ฟังอย่างนี้แล้ว คิดที่จะเป็นกุศลมากขึ้นหรือไม่ คิดที่จะเว้นสิ่งที่ไม่ดีด้วยหรือไม่ ถ้าฟังแล้ว ใครสามารถเห็นโทษของอกุศล แม้เพียงคิดที่จะเว้น ก็เป็นความเพียรชอบที่เป็นสัมมัปปธาน ไม่ใช่ความเพียรไปในอกุศล หรือความเพียรที่ยังไม่เป็นกุศล หรือยังไม่พร้อมที่จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งก็เป็นอนัตตา ความตั้งใจอย่างนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ดูต่อไป รู้ต่อไปว่า ความเป็นจริงความคิดมีกำลังพอที่จะเป็นปัจจัยให้ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลที่วิรัติเว้นทุจริตมีเพิ่มขึ้นได้ในโอกาสไหนบ้าง ก็เป็นการรู้ธรรมโดยความเข้าใจต้องลึกซึ้งกว่านั้นอีก คือรู้ว่าธรรมขณะนั้นเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เวลานี้ฟังธรรมแล้ว ทุกคนลืมที่จะรู้ธรรมที่กำลังปรากฏเพราะเกิดแล้ว คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป เห็นไหม เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้รู้ความจริงของธรรมที่เกิดแล้ว แต่ถ้ามีปัญญาละเอียดขึ้นๆ ก็รู้ว่า แม้พูดขณะนี้ แม้คิดขณะนี้ แม้เคลื่อนไหวขณะนี้ ทำอะไรขณะนี้ก็เพราะมีปัจจัยที่ได้สะสมมาแล้ว เกิดขึ้นให้รู้เลยว่าเกิดแล้วเป็นอย่างนี้ตามการสะสม การนั่ง การพูด การคิด การทำ ทุกอย่าง เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่เป็นเพราะได้สะสมมาที่จะประพฤติทางกาย ทางวาจาอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องตรงที่จะต้องสะสมความเห็นถูก และเป็นผู้ที่รู้ว่าเป็นธรรม และเมื่อเข้าใจขึ้นก็มีกุศลเกิดด้วยที่จะทำให้เจริญยิ่งขึ้น เพราะจริงๆ แล้วเมื่อมีปัญญาแล้ว หิริโอตตัปปะจะตามมา ถ้าปัญญามีแล้ว หิริโอตตัปปะก็ยังไม่มีที่จะเหมือนเดิมทั้งความประพฤติทางกาย ทางวาจา ไม่ใช่ว่าเข้าใจธรรม แต่คิดว่าฟังธรรมแล้วคิดว่าเข้าใจธรรม แต่ว่าเมื่อเป็นปัญญาจริงๆ ก็จะนำมาซึ่งหิริโอตตัปปะเพิ่มขึ้นบ่อยขึ้น

    อ.อรรณพ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพียงแต่ฟัง แล้วก็มีปัญญาบ้างที่จะเห็นประโยชน์ว่าคำสอนเหล่านี้ถูกต้อง ตรง และลึกซึ้ง แต่ไม่ได้สะสมมาที่จะมีกุศลธรรมที่จะปรุงแต่งให้ประพฤติปฏิบัติตาม แล้วก็มีหิริโอตตัปปะในอกุศลที่ยังมีโอกาสเกิดได้ แต่ก็เหมือนจะอ้างว่า เมื่อยังมีอนุสัย ยังมีกิเลสที่ยังไม่ดับ กิเลสก็เกิดได้ เพราะเป็นอนัตตา อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ อ้างแล้วก็ชิน ถูกต้องไหม แม้แต่พูด หรือคิด ก็เป็นเครื่องวัดบุคคลนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่า บุคคลนั้นสะสมอะไรมามากน้อยแค่ไหน หิริ หรืออหิริกะ โอตตัปปะ หรือ อโนตตัปปะ ถ้าไม่มีคำพูดที่แสดงอย่างนี้ เราก็ไม่สามารถรู้ถึงการสะสม แม้ฟังธรรมก็เป็นพาล ใช้ธรรมอ้างในทางที่ผิด แต่ถ้าเป็นผู้ที่ตรง คือผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นเป็นธรรม แล้วสะสมมา เมื่อสะสมความรู้มาน้อย ไม่สามารถมีหิริโอตตัปปะ ก็สะสมธรรมเพื่อขัดเกลา ไม่ใช่เพื่ออ้าง แต่ว่าต้องเพื่อขัดเกลาจริงๆ

    แต่ละคนฟังธรรมแล้วก็มีพฤติกรรมที่ต่างกัน จะมากจะน้อยเหมือนเดิม ต่างจากเดิม หรือมากกว่าเดิม เพราะว่าไม่ได้เข้าใจธรรมจริงๆ เพียงแต่ยกธรรมขึ้นอ้างก็ได้ บางคนก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ถ้าสมมติว่าเป็นคนพาลไปทำร้ายคนอื่น แล้วก็บอกว่า กรรมของเขา ที่เขาถูกทำร้ายนั้นเป็นกรรมของเขา เป็นอย่างไร เข้าใจธรรมถูกต้องไหม เข้าใจธรรมจริงๆ หรือไม่ ขณะนั้นเป็นอกุศลกรรมของตนหรือไม่ แล้วใครจะเป็นผู้ได้รับผล แต่ก็กลับไปบอกคนที่ถูกทำร้ายว่ากรรมของเขา

    อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าที่ธรรมที่เกิดแล้วมีเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยให้หิริโอตตัปปะเกิดด้วย เพราะว่าปัญญาจะไม่เป็นเหตุให้อกุศลเกิด แต่เมื่อมีปัญญาแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยที่จะทำให้ธรรมฝ่ายดี คือ ทางฝ่ายกุศลเกิด

    อ.อรรณพ ถ้ามีความเห็นถูกว่า คำสอนถูก แต่ยังไม่มั่นคงที่จะประพฤติปฏิบัติตาม แต่ความเห็นถูกที่เป็นพื้นเป็นฐานเป็นมูลว่าคำสอนนี้ถูก จะมีโอกาสเป็นปัจจัยให้ผู้ที่ยังมีอกุศล แม้ว่าจะมีความเห็นถูกบ้างในเบื้องต้นเจริญขึ้นได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา สิ่งนั้นบ้าง สิ่งนี้บ้าง เพื่อเกื้อกูล ถ้าผู้ที่ฟังระลึกถึงพระมหากรุณาตั้งแต่เริ่มทรงบำเพ็ญความเพียรอย่างยิ่งยวด [พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 565]


    หมายเลข 13855
    24 ก.ค. 2568