ปัญญาเพิ่มขึ้นเป็นลำดับขั้น
ถ . ถ้าเราปฏิบัติตามอาจารย์ทุกอย่าง ถูกต้องตามปริยัติแล้วทุกอย่าง และปฏิบัติจริงๆ ด้วย อะไรที่ให้เราเห็นแจ้งเป็นมรรคญาณ และผลญาณ
สุ . ปฏิบัติเสียก่อน ไม่ใช่ถ้า ถ้าก็ยังคงสงสัยอยู่ ไม่มีวันจบสิ้น แต่ถ้าปฏิบัติจริงๆ ปัญญาจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นเป็นลำดับขั้นจริงๆ ตามการสะสม
ถ . ที่อาจารย์บรรยายว่า นามรูปเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็พอจะเห็นว่า เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ว่าทางตา เช่น เสาในศาลานี้ มองไปทีไรก็ตั้งอยู่อย่างนั้น ไม่เห็นดับไปสักที การเกิดดับในที่นี้หมายความว่าอย่างไร
สุ . สัญญาความจำ ยังคงมีลักษณะของรูปที่ปรากฏทางตาว่า ยังอยู่ในสภาพเดิม แต่ความจริงแล้ว เมื่อมหาภูตรูปซึ่งเป็นธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานเกิดขึ้นแล้วดับไป สีสันวัณณะที่ปรากฏ ที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูปจะเที่ยงอยู่ได้อย่างไร
เวลานี้ท่านที่ยังไม่รู้ชัด ยังไม่เกิดอนิจจสัญญาด้วยวิปัสสนาญาณ ก็ยังคงเต็มไปด้วยนิจจสัญญา ทางตาก็เป็นนิจจสัญญา คือ เห็นว่าไม่เปลี่ยนแปลง เห็นว่าเที่ยง ไม่เห็นว่าดับไป สัญญาความจำเกิดสืบต่ออย่างรวดเร็วที่สุดทุกขณะจิต ยังไม่ประจักษ์ด้วยวิปัสสนาญาณถึงความเป็นอนิจจังของสภาพธรรมที่เป็นความสมบูรณ์ของวิปัสสนาญาณ [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 260]
โดยการศึกษา ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ดับไป ที่เห็นในขณะนี้ก็ต้องดับ เพราะถ้าไม่ดับ จิตอื่นก็เกิดไม่ได้ นี่เป็นขั้นของการฟัง
เพราะฉะนั้น ขั้นที่จะเจริญสติปัญญาจนกระทั่งแทงตลอดในสภาพธรรมนั้น จะผิดจากความจริงไปได้อย่างไร ในเมื่อรูปเกิดดับอย่างรวดเร็ว จะให้เที่ยงอยู่ได้อย่างไร แต่ว่าสัญญาความจำต่างหากที่จำไว้ว่าคงสภาพเดิม มหาภูตรูปยังดับ สีสันวัณณะที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูปจะไม่ดับได้อย่างไร แต่เพราะว่าปัญญายังไม่ได้พิจารณาจนแทงตลอด
ปัญญาของผู้ที่เจริญสติปัฏฐานกำลังเริ่มพิจารณานามนั้นบ้าง รูปนี้บ้าง เมื่อมีนามและรูปปรากฏเกิดขึ้น ปัญญาของผู้ที่กำลังเริ่มเจริญสติปัฏฐานก็รู้ได้จริงๆ ว่า ระลึกรู้พิจารณาลักษณะของนามใดรูปใด ทางทวารไหนมากกว่าทวารอื่น หรือว่ามีความรู้ยิ่งขึ้น เพิ่มขึ้นทางทวารไหนมากกว่าทวารอื่น
ถ้าทางตายังไม่คลาย ยังไม่แยกออกจากทวารอื่น ก็เพราะว่าพิจารณาทางทวารอื่นมากกว่าทางตา หรือว่าทางตาอาจจะพิจารณาน้อยเหลือเกิน หรือว่ายังไม่ได้เริ่มพิจารณาจนกระทั่งเป็นปัญญาที่ละคลายว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตานี้ก็เป็นเพียงสีสันวัณณะที่ปรากฏทางตาเท่านั้น เมื่อยังไม่คลาย จะไปประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปได้อย่างไร
ที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป จะต้องรู้ชัดเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น และละคลายมากขึ้นจนเสมอกันหมดทั้ง ๖ ทวาร จึงจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่เป็นอุทยัพพยญาณได้
แต่ถ้าพิจารณานามใดน้อย รูปใดน้อย ทวารใดน้อย ก็ไม่ประจักษ์ หรือว่าไม่มีความรู้ชัดในทวารนั้น อาจจะรู้ทางทวารอื่น เพราะพิจารณาทางทวารอื่น เช่น ทางหู พิจารณาเสียง ก็มีความรู้ระลึกได้บ่อยขึ้น ค่อยๆ คลายไปในการที่จะยึดถือหรือการที่จะไม่รู้ในลักษณะของเสียง หรือว่าทางกายก็อาจจะพิจารณาเย็นเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ร้อนเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แต่อ่อนแข็งไม่หมดใช่ไหม ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาจึงจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติตาม รู้แจ้งตาม และแทงตลอดตามในสภาพธรรม ซึ่งจะต้องเจริญอบรมนานมากทีเดียว
และใครจะรู้ว่าปัญญาของใครเพิ่มขึ้น ชัดขึ้น ทางทวารนั้น หรือทางทวารนี้ หรือยังสังสัยอยู่มาก ยังระลึกน้อยมาก ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อรู้ ก็รู้ เมื่อไม่รู้ ก็ไม่รู้ เมื่อยังสังสัย ก็สงสัย เมื่อรู้เพิ่มขึ้น ก็เพิ่มขึ้น เป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ต่อสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่หลอกตัวเอง เมื่อไม่รู้ จะไปบอกว่ารู้หมดแล้ว อย่างนั้นไม่ใช่ผู้ตรงต่อธรรม ไม่ใช่ผู้ที่จะขัดเกลา หรือละกิเลสได้ แต่ผู้ที่จะขัดเกลาหรือผู้ที่จะละกิเลสได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ และไม่ใช่ไปรู้อื่นด้วย ถ้าไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ จะไปรู้อื่น นั่นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ตรงต่อธรรม คือ ไม่เจริญหนทางที่จะให้ละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมตามปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องเจริญ ต้องอบรมต่อไปอีก จนกว่าจะเป็นปัญญาจริงๆ รู้จริงๆ ละได้ จริงๆ แต่ต้องเป็นปัญญาจริงๆ ไม่ใช่หลอกๆ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่คิดว่ารู้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 261
