ปัญญามีระดับขั้นต่างๆ กัน


    โสภณเจตสิกดวงสุดท้าย คือ ปัญญาเจตสิก หรือปัญญินทรีย์

    ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ดวงแรก คือ ผัสสเจตสิก ที่เป็นอัญญสมานาเจตสิก เป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง และทางฝ่ายอกุศลดวงแรก คือ โมหเจตสิก แต่ดวงสุดท้ายของโสภณเจตสิก คือ ปัญญา หรือปัญญินทรีย์ เป็นเจตสิกที่ยากที่จะเกิด ซึ่งควรจะอบรมให้มี เพราะว่าเป็นธรรมที่สามารถรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง และไม่ใช่ธรรมที่เกิดง่ายเหมือนอย่างผัสสเจตสิก หรือธรรมฝ่ายอกุศลซึ่งได้แก่ โมหเจตสิก อหิริกเจตสิก อโนตตัปปเจตสิก อุทธัจจเจตสิก โลภเจตสิก โทสเจตสิกเหล่านั้น แต่ปัญญาเป็นสิ่งที่จะต้องอบรม และปัญญามีระดับขั้นต่างๆ กัน ตั้งแต่ขั้นเล็กๆ น้อยๆ จนถึงขั้นที่สามารถดับกิเลสเป็นสมุจเฉท

    อยู่ในสังสารวัฏฏ์มานานถึงแสนโกฏิกัปป์ แต่สามารถจะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ด้วยโสภณเจตสิกดวงสุดท้าย คือ ปัญญินทรีย์ หรือปัญญาเจตสิก

    อัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ มีข้อความว่า

    ที่ชื่อว่าปัญญา เพราะรู้ทั่ว

    ถามว่า รู้ทั่วซึ่งอะไร

    ตอบว่า รู้ทั่วซึ่งอริยสัจจ์ ๔ โดยนัยว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา รู้ทั่วสภาพธรรมซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และ สภาพของพระนิพพานซึ่งเป็นธรรมที่ดับทุกข์

    ก็ปัญญานั้น ชื่อว่าเป็นอินทรีย์ เพราะอรรถว่าเป็นใหญ่ในการครอบงำอวิชชาเสียได้

    รับฟัง ...

    ปัญญามีระดับขั้นต่างๆ กัน

    คิดดู อยู่ในสังสารวัฏฏ์มานานถึงแสนโกฏิกัปป์ แต่สามารถจะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ด้วยโสภณเจตสิกดวงสุดท้าย คือ ปัญญินทรีย์ หรือปัญญาเจตสิก

    หรือชื่อว่าอินทรีย์ เพราะครอบครองความเป็นใหญ่ในการเห็นถูกต้องตาม ความเป็นจริง ปัญญานั่นแหละเป็นอินทรีย์ จึงชื่อว่าปัญญินทรีย์

    ก็ปัญญานี้นั้น มีความส่องสว่างเป็นลักษณะ และมีการรู้ทั่วเป็นลักษณะ

    แสดงให้เห็นว่า ก่อนนี้ไม่ได้มีปัญญาคือความสว่างเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมและไม่ได้อบรมจนกระทั่งรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ลักษณะของปัญญานั้น มีความส่องสว่างเป็นลักษณะ และมีการรู้ทั่วเป็นลักษณะ

    ที่ว่าปัญญามีความส่องสว่างเป็นลักษณะ ข้อความในอรรถกถามีว่า

    เหมือนอย่างว่า เมื่อเขาตามประทีปไว้ในตอนกลางคืนในบ้านที่มีฝา ๔ ด้าน ความมืดย่อมหมดไป แสงสว่างย่อมปรากฏฉันใด ปัญญามีการส่องสว่างฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมดาแสงสว่างที่เสมอด้วยแสงสว่างคือปัญญานั้นไม่มี เมื่อปัญญาเกิดขึ้นย่อมขจัดความมืดคืออวิชชาเสียได้ ย่อมยังแสงสว่างคือวิชชาให้เกิดขึ้น ย่อมยังแสงสว่างคือญาณให้สว่างแจ้ง และย่อมกระทำอริยสัจจะทั้งหลายให้ปรากฏ ปัญญามีความส่องสว่างเป็นลักษณะอย่างนี้แล

    ห้องนี้สว่าง แต่ถ้าปัญญาไม่เกิดก็อยู่ในความมืด เพราะว่าไม่เห็นนามธรรมและรูปธรรมซึ่งกำลังเกิดดับตามปกติ ตามความเป็นจริง จนกว่าเมื่อใดปัญญาเกิด เมื่อนั้นจะเป็นความสว่างที่สามารถรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

    ที่ว่าปัญญามีการรู้ทั่วเป็นลักษณะ ข้อความในอรรถกถามีว่า

    ปัญญาเมื่อเกิดขึ้นย่อมรู้ทั่วซึ่งธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ทั้งที่ควรเสพและไม่ควรเสพ ทั้งเลวและประณีต ทั้งดำและขาว ทั้งที่เข้ากันได้ และเข้ากันไม่ได้ เช่นเดียวกับหมอผู้ฉลาดย่อมรู้จักเภสัชเป็นต้น ฉะนั้น เพราะรู้ทั่วถึง จึงเรียกว่า ปัญญา

    ถามว่า รู้ทั่วถึงซึ่งอะไร

    ตอบว่า รู้ทั่วว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

    ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้ ชื่อว่ารู้ทั่วไม่ได้ เพราะว่าปัญญายังไม่สมบูรณ์ แต่ปัญญา ที่ค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย จะถึงความสมบูรณ์อย่างพระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่ท่านถึงความสมบูรณ์แล้ว

    ชื่อต่างๆ ของปัญญา ตามภาวะต่างๆ ของปัญญา ข้อความใน อัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ มีว่า

    ที่ชื่อว่าปัญญา เพราะความหมายว่าทำให้ปรากฏ คือ ทำอรรถลักษณะนั้นๆ ให้กระจ่างแจ้ง

    สภาพธรรมในขณะนี้เป็นจริงอย่างไร ปัญญาเท่านั้นที่สามารถรู้ความเป็นจริงของสภาวะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้

    อีกอย่างหนึ่งที่ชื่อว่าปัญญา เพราะรู้ธรรมทั้งหลายโดยประการนั้นๆ มีสภาวะที่ไม่เที่ยงเป็นต้น อาการที่รู้ทั่วชื่อว่า ปชานนา สภาวะที่ค้นคว้าอนิจจลักษณะ เป็นต้นชื่อว่าวิจยะ

    บางแห่งจะใช้คำว่า ปวิจยะ

    สภาวะที่ค้นคว้าจตุสัจจธรรมชื่อว่าธัมมวิจยะ สภาวะที่พิจารณารู้อนิจจลักษณะได้ชื่อว่าสัลลักขณา

    บางแห่งจะเติมคำเป็นอุปลักขณาบ้าง ปัจจุปลักขณาบ้าง

    ความเป็นบัณฑิตชื่อว่าปัณฑิจจะ ความเป็นผู้ฉลาดชื่อว่าโกสัลละ ความเป็นผู้ละเอียดลออชื่อว่าเนปุญญะ ภาวะที่ประกาศคือรู้แจ้งอนิจจลักษณะ เป็นต้นชื่อว่าเวภัพยา ภาวะที่คิดอนิจจลักษณะเป็นต้นชื่อว่าจินตา อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่าจินตา เพราะเกิดขึ้นแก่ผู้ใด ทำให้ผู้นั้นคิดอนิจจลักษณะเป็นต้น ภาวะที่ใคร่ครวญอนิจจลักษณะเป็นต้นชื่อว่าอุปปริกขา

    ปัญญาชื่อว่าภูริ เพราะเป็นดุจแผ่นดิน แผ่นดินเรียกว่า ภูริ บุคคลชื่อว่า มีปัญญาดุจแผ่นดิน เพราะปัญญานั้นกว้างและไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน

    อนึ่ง ปัญญาชื่อว่าภูริ เพราะยินดีอรรถที่เป็นจริง

    ท่านทั้งหลายที่ประสงค์จะรู้แจ้งความจริง เป็นผู้ที่สะสมปัญญา เพราะว่า เป็นผู้ที่ยินดีในสภาพธรรมที่เป็นจริง

    ปัญญา ชื่อว่าเมธา เพราะทำลาย คือ ห้ำหั่นกิเลสเหมือนสายฟ้าผ่าภูเขาหิน อีกอย่างหนึ่งที่ชื่อว่าเมธา เพราะเรียนและจำไว้ได้ฉับพลัน

    ปัญญา ชื่อว่าปริณายิกา เพราะเกิดแก่ผู้ใด นำผู้นั้นไปในการปฏิบัติที่เกื้อกูล และนำสัมปยุตตธรรมไปในการแทงตลอดลักษณะตามเป็นจริง

    ปัญญา ชื่อว่าวิปัสสนา เพราะเห็นแจ้งธรรมทั้งหลายโดยไม่เที่ยงเป็นต้น

    ปัญญา ชื่อว่าสัมปชัญญะ เพราะรู้อนิจจลักษณะเป็นต้นโดยชอบ โดยทั่วถึง

    ปัญญา ชื่อว่าปโตทะ เพราะแทงจิตที่คดโกงซึ่งวิ่งไปนอกทางให้วิ่งไปตรงทาง

    ปัญญา ชื่อว่าอินทรีย์ เพราะครองความเป็นใหญ่ในลักษณะที่เห็น อินทรีย์ คือ ปัญญา ชื่อว่าปัญญินทรีย์

    ปัญญา ที่ชื่อว่าปัญญาพละ เพราะไม่หวั่นไหวในเพราะอวิชชา

    ศาสตรา คือ ปัญญา ชื่อว่าปัญญาสัตถะ โดยความหมายว่า ตัดกิเลส

    ปราสาท คือ ปัญญา ชื่อว่าปัญญาปาสาทะ โดยความหมายว่า ตั้งสูงขึ้นไป

    แสงสว่าง คือ ปัญญา ชื่อว่าปัญญาอาโลกะ โดยความหมายว่า สว่าง

    โอภาส คือ ปัญญา ชื่อว่าปัญญาโอภาสะ โดยอรรถว่า ส่อง

    ปัญญา คือ ประทีป ชื่อว่าปัญญาปัชโชตะ โดยอรรถว่า โชติช่วง

    รัตนะ คือ ปัญญา ชื่อว่าปัญญารัตนะ โดยความหมายว่า นำมาซึ่งความพอใจ ให้ความพอใจ ให้เกิดความพอใจ นำมาซึ่งความปลื้มใจ ปรากฏว่า หาได้ยาก ไม่มีสิ่งเปรียบ สำหรับผู้ไม่ต่ำทรามบริโภค

    ปัญญา ที่ชื่อว่าอโมหะ เพราะเป็นเหตุให้สัตว์ไม่ลุ่มหลง หรือตัวปัญญาเองย่อมไม่ลุ่มหลงไปในอารมณ์ หรือเป็นเพียงความไม่ลุ่มหลงนั่นเอง

    บทว่า ธัมมวิจยะ มีเนื้อความดังได้อธิบายมาแล้ว คือ สภาวะที่ค้นคว้าจตุสัจจธรรม

    ถามว่า ก็เพราะเหตุไรจึงตรัสคำว่า ธัมมวิจยะไว้อีก

    ตอบว่า เพื่อแสดงว่า อโมหะเป็นปฏิปักษ์ต่อโมหะ ดังนั้นจึงทรงแสดงคำนี้ไว้ อโมหะนั้นไม่ใช่เป็นธรรมแผกไปจากโมหะอย่างเดียว แต่เป็นปฏิปักษ์ต่อโมหะด้วย อโมหะ คือ ธัมมวิจยะ ทรงประสงค์ในที่นี้

    ทิฏฐิที่เป็นจริง เป็นเครื่องนำออกจากภพและเป็นกุศล ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ

    นี่เป็นชื่อต่างๆ ตามภาวะต่างๆ ของปัญญา ซึ่งแต่ละท่านที่กำลังสะสมปัญญาบารมีก็จะมีอาการภาวะต่างๆ ของปัญญาเหล่านี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เริ่มจากเจตสิกที่เป็นปกิณณกะคือผัสสะ มาจนตลอดถึงปัญญาที่จะต้องอบรม จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ จนกระทั่งถึงความสมบูรณ์ของปัญญาที่เป็น ปัญญินทรีย์ ๓ ขั้น คือ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ ได้แก่ โสตาปัตติมรรคจิต ๑ ขณะ เป็นปัญญินทรีย์ขั้นที่ ๑ ที่เป็นโลกุตตระ ปัญญินทรีย์ขั้นที่ ๒ ที่เป็นโลกุตตระ คือ อัญญินทรีย์ ได้แก่ โสตาปัตติผลจิต ๑ สกทาคามิมรรคจิต ๑ สกทาคามิผลจิต ๑ อนาคามิมรรคจิต ๑ อนาคามิผลจิต ๑ และอรหัตตมรรคจิต ๑ และปัญญาสุดท้ายที่เป็นอินทรีย์ที่เป็นโลกุตตระ คือ อัญญาตาวินทรีย์ ได้แก่ อรหัตตผล ซึ่งเป็นจิรกาลภาวนาที่ทุกคนอบรมไปก็จะต้องถึงอัญญาตาวินทรีย์ แต่ไม่ทราบว่าวันไหน จนกว่าเมื่อมีเหตุที่สมควร ผลก็ต้องเกิดขึ้นตามลำดับ

    สำหรับปัญญินทรีย์ ๓ ขั้น โสตาปัตติมรรคจิต ๑ ขณะ เป็นอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ และปัญญินทรีย์สุดท้าย คือ อัญญาตาวินทรีย์ ได้แก่ อรหัตตผลจิต ส่วนตรงกลางที่เหลือ ได้แก่ โสตาปัตติผลจิต สกทาคามิมรรคจิต สกทาคามิผลจิต อนาคามิมรรคจิต อนาคามิผลจิต และอรหัตตมรรคจิต เป็นอัญญินทรีย์ เพราะว่าอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์เป็นปัญญินทรีย์ที่เกิดขึ้นเป็นขณะแรกที่เป็นโลกุตตระ ในสังสารวัฏฏ์ คือ โสตาปัตติมรรคจิต รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ปัญญินทรีย์ต่อไป คือ โสตาปัตติผลจิต สกทาคามิมรรคจิต สกทาคามิผลจิต อนาคามิมรรคจิต อนาคามิผลจิต และอรหัตตมรรคจิตนั้น รู้ตามที่เคยรู้ จึงเป็นอัญญินทรีย์ ยังไม่ได้หมดกิเลส ต่อเมื่อดับกิเลสหมดจึงถึงความเป็นพระอรหันต์เป็น อัญญาตาวินทรีย์ ซึ่งก็เป็นจิรกาลภาวนา

    ไม่ทราบว่าผ่านมาแล้วกี่แสนโกฏิกัปป์ และจะถึงอัญญาตาวินทรีย์เมื่อไร อาจจะไม่ถึงแสนโกฏิกัปป์ก็ได้ แล้วแต่การสะสมของแต่ละท่าน [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 2081]


    หมายเลข 13846
    31 ก.ค. 2568