เป็นหนทางเดียว มีความเข้าใจขึ้นๆ


        ท่านอาจารย์ เวลาที่มีปัญญาเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยให้มีการระลึกลักษณะของสภาพธรรม เมื่อนั้นเราก็สามารถรู้ขณะที่ต่างของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่สติเกิด และเริ่มรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถหมดความสงสัยในสภาพที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมตามลำดับขั้นของปัญญา ที่เป็นการแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรม

        เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องใจร้อนจะไปรู้รูปนั้นรูปนี้ เพราะมีรูปนั้นรูปนี้ที่กล่าวไว้ตรงนั้นตรงนี้ ไม่ใช่เลย เป็นความค่อยๆ เข้าใจขึ้น และรู้ว่า ขณะที่กล่าวถึงสภาพธรรมที่เป็นอภิธรรมโดยละเอียด ก็เพื่อกว่าจะคลายความเป็นเราได้ จากที่ไม่รู้เลย ที่จะเป็นตัวตนไปแยกกลาปออกจากกันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยความเป็นตัวตน

        ผู้ฟัง แม้ว่ามีความมั่นคงในสิ่งที่ฟัง

        ท่านอาจารย์ มีความเข้าใจขึ้น รู้ว่าสิ่งนั้นถูกต้อง

        ผู้ฟัง อย่างที่ท่านอาจารย์จะยกตัวอย่างว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ท่านอาจารย์ก็อธิบายอย่างละเอียดว่า เราเห็นนิมิตของเขา เพราะเกิดดับเร็ว แต่จริงๆ ถ้าเราสามารถรู้ได้ ถ้ามีปัญญารู้ได้ ก็จะเห็นว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วก็ดับไปจริงๆ แล้วก็มีอะไรสลับเกิดดับ

        ท่านอาจารย์ เเต่ยังไม่ต้องไปถึงขั้นนั้นเลย เพียงแต่ว่า ณ บัดนี้ เดี๋ยวนี้ "เห็น" แล้วก็เข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะที่กำลังฟัง เริ่มเข้าใจบ้าง หรือยัง

        ผู้ฟัง ที่ต่างก็คือเห็น ได้ยิน ก่อนฟังก็ไม่เคยทราบว่า เป็นธรรมะอย่างไร

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า สติยังไม่เกิดเลย กับสติเกิดนี่ต่างกัน แม้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ไม่ได้ไปที่อื่นเลย มีสิ่งนี้ และกำลังมีสิ่งนี้ แต่ว่าปัญญาแค่ไหน

        ผู้ฟัง ก็ต้องทราบว่า ปัญญายังรู้ไม่ได้ แต่ความจริงมีให้พิสูจน์ตลอดเวลา

        ท่านอาจารย์ จึงใช้คำว่า “เป็นหนทางเดียว” เมื่อสภาพธรรมมี แล้วไม่รู้ตรงลักษณะนั้น ไม่มีทางที่จะคลายความไม่รู้ และความสงสัยในสภาพธรรมนั้นได้ ขณะใดก็ตามที่สติเกิด แม้เพียงเล็กน้อยแล้วก็ดับไป อวิชชากับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนที่สะสมมามากมายเนิ่นนาน ขณะนั้นมีปัจจัยจะเกิดแล้ว จะไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่มีทางเลย แต่พอเกิดแล้ว กว่าจะรู้ว่าแม้สติขณะนั้นก็เป็นอนัตตา ก็ลองคิดดูจากอวิชชาที่สะสมมา และความเป็นเราก็มีมากมาย และสติก็เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ทั้งๆ ที่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อยนิดๆ หน่อยๆ กว่าจะหมดการยึดถือสภาพธรรม แม้สติ และโพธิปักขิยธรรมว่าเป็นเรา ต้องไม่เหลือเลย และจะรู้ได้ด้วยว่า ขณะที่กำลังค่อยๆ เข้าใจ กำลังจางความยึดถือ เป็นปกติเพิ่มขึ้น โดยที่ถ้ามีความเป็นตัวตนที่กำลังพยายามอยู่ ก็หมดทางอีก

        ผู้ฟัง เมื่อฟังแล้วก็มีจิตอนุโมทนา รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณมากๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่า ปัญญาน้อย อวิชชาเยอะ

        ท่านอาจารย์ เพราะหวังใช่ไหม

        ผู้ฟัง ใช่ ไม่ตามฐานะ และตามกำลังปัญญา

        ท่านอาจารย์ จากการที่ไม่ได้ฟัง แล้วได้ฟัง แล้วก็เข้าใจขึ้น ก็เป็นหนทางเดียว ไม่ได้ให้ไปทำอะไรให้ลำบากเดือดร้อนเลย ปกติ และเข้าใจตามความเป็นจริง และรู้ว่าที่เป็นอย่างนี้จะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร แค่ฟัง และจะให้รู้มากๆ ให้ดับกิเลสได้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 368


    หมายเลข 12908
    27 ธ.ค. 2566