ศึกษาเรื่องชื่อ เรื่องราว หรือ ลักษณะของธรรมะ


        ผู้ฟัง มีคำถามจากท่านผู้ฟังว่า ๑. การศึกษาเรื่องชื่อ และเรื่องราวของธรรมะ เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และข้อ ๒ การศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏต่างๆ นั้น เพื่อเข้าใจความจริงซึ่งมีชื่อ และเรื่องราวต่างๆ ของธรรมะนั้นๆ เป็นคำถามยอดนิยมสมัยเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อนมาแล้ว และท่านอาจารย์ก็จะตอบแบบนี้เหมือนเดิมมาแล้ว ๑๐ กว่าปีเช่นเดียวกัน

        ซึ่งได้ฟังคำตอบ ฟังแล้วฟังเล่า ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ยังไม่รู้เหมือนเดิม ต่อเมื่อฟังคำตอบซ้ำอีกครั้งหนึ่งเมื่อวานนี้ จึงค่อยๆ รู้สึก ขอย้ำว่า “ค่อยๆ รู้สึก” เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยว่าการศึกษาธรรมไม่มีรูปแบบ ไม่มีกรอบ ไม่มีการบังคับ เป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคลจริงๆ ถ้าหนักไปในข้อหนึ่งข้อใด เรื่องหนึ่งเรื่องใด ก็จะเป็นความเห็นผิดทันที ถ้าในขณะนั้นมีความเข้าใจเกิดขึ้น หรือปัญญาเกิดขึ้น ก็จะรู้จักความจริงได้

        ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจเพียงเท่านี้ ท่านอาจารย์จะกรุณาเมตตาเกื้อกูลให้มีความเข้าใจ มีความเห็นถูกมากยิ่งขึ้น ก็จะขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

        ท่านอาจารย์ ฟังมา ๑๐ ปีก็เข้าใจแค่นี้ ถ้าจะเข้าใจมากกว่านี้ ต้องฟังอีกเท่าไร ก็คงจะตลอดชีวิต โดยที่ไม่มีกฎเกณฑ์ว่า คนนี้ฟัง ๑๕ ปี คนนี้ฟัง ๒๐ ปี คนนั้นฟัง ๓๐ ปี แต่เป็นความจริง เป็นความตรง คือ สามารถที่จะค่อยๆ เห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ หรือไม่ หรือว่าเพียงแต่ฟังเรื่องราว แล้วก็รู้ว่า แม้แต่เรื่องราวก็ยังยากที่จะเข้าใจ เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพียงแค่ธรรมะที่มีปรากฏในขณะนี้ แต่เคยไม่รู้มานานมาก แล้วก็เคยจำไว้เป็นวิปลาส หรือว่าเป็นความเห็นที่ผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นอย่างนั้น หรือไม่ มีคนจริงๆ มีโต๊ะ มีเก้าอี้จริงๆ ไม่เห็นเกิดดับเลย แล้วเมื่อไรจะเข้าใจว่า ไม่มีใครเลย นอกจากธรรมะ สิ่งที่มีจริงเกิด โดยที่ใครก็สร้างไม่ได้ ทำไม่ได้เลย ขณะนี้เกิดแล้ว แล้วจะไปคิดทำอะไรขึ้นมาสักอย่างให้เกิดขึ้นได้ไหม ในเมื่อทุกอย่างที่แม้คิดก็เกิดแล้ว เกิดคิดอย่างนั้นขึ้น

        เพราะฉะนั้นให้ทราบตามความเป็นจริงว่า ใครจะทำอะไรธรรมะไม่ได้เลย แต่มีการที่สามารถจะเข้าใจว่า ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และมีตลอดตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเข้าใจคำว่า “ธาตุ” “ธา – ตุ” มีใครจะไปทำอะไรไหม หรือหมดเรื่องไปเลย เมื่อเป็นธาตุแล้ว ก็ไม่สามารถจะไปทำอะไรธาตุนั้นได้เลย แม้แต่รูปธาตุ ก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้ มีใครทำสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ให้เกิดขึ้น มีใครทำเสียง เกิดแล้ว ใครทำให้เกิดขึ้น ฉะนั้นรูปธาตุก็เป็นธาตุซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้

        นอกจากรูปธาตุก็ยังมีธาตุรู้ ซึ่งเมื่อมีปัจจัยปรุงแต่งก็เกิด ธาตุรู้ มี ๒ อย่าง คือ จิตกับเจตสิก จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าไม่มีเจตสิก จิตเกิดไม่ได้เลย และเจตสิกก็เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ผัสสะเกิดปรุงแต่งให้จิตเกิด ถ้าจิตไม่มี ผัสสะก็จะมีการกระทบกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ด้วย

        นี่คือการที่จะเริ่มเข้าใจความจริงว่า เป็นธรรมะทั้งหมด แต่จากการฟัง แม้ว่าจะมีความเข้าใจขั้นฟัง และธรรมะก็เป็นในขณะนี้เลย ไม่ต้องไปหาธรรมะที่อื่น ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไร ก็มีธรรมะที่กำลังกล่าวถึง เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังปรากฏ ก็ฟังต่อไป ฟังมาแล้ว ๑๐ ปี ไม่ต้องห่วงว่าอีกกี่ ๑๐ ปี เพราะว่าถ้าจะคิดถึงผู้ที่เป็นสาวก ไม่ใช่ผู้เป็นอัครสาวก มหาสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงบารมีของสาวกที่จะถึงการรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ไม่ใช่ชาติเดียว และไม่ใช่หลายสิบ หลายร้อย ถ้าได้ทราบประวัติของท่านเหล่านั้น ซึ่งเป็นการสะสมอบรมปัญญา ความเห็นถูกจริงๆ เพราะฉะนั้นก็ไม่คำนึงถึงกาลเวลา จะสะสมมาแล้วมากเท่าไร จะได้ยินได้ฟังต่อไปอีกเท่าไร แต่ผลที่ได้ฟังก็คือทำให้มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเมื่อ ๑๐ ปีก่อนก็กล่าวอย่างนี้ อีกกี่ปีก็เปลี่ยนคำไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้ารู้ความจริงของสภาพธรรม จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะช่วยอย่างไร จะอนุเคราะห์อย่างไร ก็เป็นเรื่องปัญญาของผู้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

        พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุเคราะห์บุคคลอื่นด้วยอะไร พระปัญญาของพระองค์จะไปเปลี่ยนคนอื่น จะไปช่วยทำให้ปัญญาของบุคคลอื่นเจริญขึ้น โดยไม่ใช่ความเข้าใจถูกของคนนั้นเอง เป็นสิ่งที่ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นพระคุณ เห็นความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อฟังสักเท่าไรก็ตาม ก็เพียงเริ่มสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จนกว่าจะถึงกาลที่น่าสงสัยข้อความในพระสูตร เพียงแค่ฟัง สามารถรู้แจ้งสภาพธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลได้ จนถึงความเป็นพระอรหันต์ก็มี ก็เป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเรื่องของความไม่รู้ และหาทาง ทุกทางที่ไม่ใช่ความรู้ เพื่อจะดับกิเลส นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 366


    หมายเลข 12898
    17 ธ.ค. 2566