สงฆ์คว่ำบาตร หงายบาตรแก่อุบาสก


        โดยนัยตรงกันข้าม คือ นัยที่ภิกษุเกื้อกูลแก่คฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติผิดต่อสงฆ์ นี่เป็นเรื่องสำคัญระหว่างพุทธบริษัท ๔ คือ ระหว่างฆราวาสกับบรรพชิต ถ้าภิกษุกระทำไม่ถูกต้อง ฆราวาสก็ประกาศการไม่เลื่อมใสต่อภิกษุนั้น แต่ถ้าพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาส ประพฤติไม่ถูกต้อง ภิกษุก็มีวิธีที่จะปฏิบัติต่อฆราวาสด้วย

        ใน อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ปัตตสูตรที่ ๑ ข้อ ๑๙๔ มีข้อความว่า

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สงฆ์หวังอยู่ พึงคว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ องค์ ๘ ประการเป็นไฉน คือ อุบาสกพยายามเพื่อความเสื่อมลาภแก่ภิกษุทั้งหลาย ๑ พยายามเพื่อความพินาศแก่ภิกษุทั้งหลาย ๑ พยายามเพื่อความอยู่ไม่ได้แก่ภิกษุทั้งหลาย ๑ ย่อมด่าย่อมบริภาษภิกษุทั้งหลาย ๑ ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกจากภิกษุทั้งหลาย ๑ ติเตียนพระพุทธเจ้า ๑ ติเตียนพระธรรม ๑ ติเตียนพระสงฆ์ ๑

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สงฆ์หวังอยู่ พึงคว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล ฯ

        มีประโยชน์สำหรับฆราวาสหรือเปล่า มี สำหรับฆราวาสให้พิจารณาตนเอง

        ขอกล่าวถึงเรื่องของการคว่ำบาตร ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ใน พระวินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๒ เรื่องเจ้าวัฑฒะลิจฉวี ข้อ ๑๑๐ มีข้อความว่า

        สมัยนั้น เจ้าวัฑฒะลิจฉวีเป็นสหายของพระเมตติยะและพระภุมมชกะ จึงเจ้าวัฑฒะลิจฉวีเข้าไปหาพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้วกล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ เมื่อเธอกล่าวอย่างนั้น ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย แม้ครั้งที่สอง เจ้าวัฑฒะลิจฉวีได้กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ แม้ครั้งที่สอง ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย แม้ครั้งที่สาม เจ้าวัฑฒะลิจฉวีได้กล่าวว่า ผมไหว้ขอรับ แม้ครั้งที่สาม ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย

        เจ้าวัฑฒะลิจฉวีถามว่า

        ผมผิดอะไรต่อพระคุณเจ้าอย่างไร ทำไมพระคุณเจ้าจึงไม่ทักทายปราศรัยกับผม

        ภิกษุทั้งสองตอบว่า

        ก็จริงอย่างนั้นแหละ ท่านวัฑฒะ พวกอาตมาถูกพวกพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ ท่านยังเพิกเฉยได้

        เจ้าวัฑฒะลิจฉวีถามว่า.

        ผมจะช่วยเหลืออย่างไรขอรับ

        ภิกษุกล่าว่า.

        ท่านวัฑฒะ ถ้าท่านเต็มใจช่วย วันนี้พระผู้มีพระภาคต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสึก

        เจ้าวัฑฒะลิจฉวีถามว่า.

        ผมจะทำอย่างไร ผมสามารถจะช่วยได้ด้วยวิธีไหน

        ภิกษุกล่าว่า.

        มาเถิด ท่านวัฑฒะ ท่านจงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมีลมแรงขึ้น ประชาบดีของหม่อมฉัน ถูกพระทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า

        เจ้าวัฑฒะลิจฉวีรับคำของพระเมตติยะและพระภุมมชกะแล้ว เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า

        พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้ กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมีลมแรงขึ้น ประชาบดีของหม่อมฉันถูกพระทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า ฯ

        ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า

        ดูกร ทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมตามที่เจ้าวัฑฒะลิจฉวีนี้ กล่าวหา

        ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า

        พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า

        แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาค ...

        แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า

        ดูกร ทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมตามที่เจ้าวัฑฒะลิจฉวีนี้กล่าวหา

        ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า

        พระองค์ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า

        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

        ดูกร ทัพพะ บัณฑิตย่อมไม่กล่าวแก้คำกล่าวหาอย่างนี้ ถ้าเธอทำ จงบอกว่าทำ ถ้าไม่ได้ทำ จงบอกว่าไม่ได้ทำ

        ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า

        ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว แม้โดยความฝัน ก็ยังไม่รู้จักเสพเมถุนธรรม จะกล่าวไยถึงเมื่อตื่นอยู่เล่า พระพุทธเจ้าข้า

        ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงคว่ำบาตรเจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ อย่าให้คบกับสงฆ์ ฯ

        ข้อความต่อไป

        องค์แห่งการคว่ำบาตร

        พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงคว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ:

        ๑. ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย

        ๒. ขวนขวายเพื่อมิใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย

        ๓. ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย

        ๔. ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย

        ๕. ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน

        ๖. กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า

        ๗. กล่าวติเตียนพระธรรม

        ๘. กล่าวติเตียนพระสงฆ์

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คว่ำบาตรแก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ ฯ

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงคว่ำบาตรอย่างนี้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ข้อ ๑๑๕

        ครั้นเวลาเช้า ท่านพระอานนท์ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของเจ้าวัฑฒะลิจฉวี ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะเจ้าวัฑฒะลิจฉวีว่า

        ท่านวัฑฒะ สงฆ์คว่ำบาตรแก่ท่านแล้ว ท่านคบกับสงฆ์ไม่ได้ พอเจ้าวัฑฒะลิจฉวีทราบข่าวว่า สงฆ์คว่ำบาตรแก่เราแล้ว เราคบกับสงฆ์ไม่ได้แล้ว ก็สลบล้มลง ณ ที่นั้นเอง

        ทีแรกคงจะคิดว่า ไม่ใช่ความผิดที่ร้ายแรงอะไร แต่อย่าลืมว่า การพูดในสิ่งที่ไม่จริง ทำให้คนอื่นเสียหาย เสียประโยชน์ และทำให้คนอื่นเข้าใจผิดด้วย เพราะฉะนั้น มีโทษมากทีเดียว ถึงกับสงฆ์คว่ำบาตรได้

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ขณะนั้น มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของเจ้าวัฑฒะลิจฉวี ได้กล่าวคำนี้กะเจ้าวัฑฒะลิจฉวีว่า

        ไม่ควร ท่านวัฑฒะ อย่าเศร้าโศก อย่าคร่ำครวญไปนักเลย พวกเราจักให้พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์เลื่อมใส

        จึงเจ้าวัฑฒะลิจฉวีพร้อมด้วยบุตรภรรยา พร้อมด้วยมิตรอำมาตย์ พร้อมด้วยญาติสาโลหิต มีผ้าเปียก มีผมเปียก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบศีรษะลงแทบ พระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า

        พระพุทธเจ้าข้า โทษได้มาถึงหม่อมฉันแล้ว ตามความโง่ ตามความเขลา ตามอกุศล ขอพระองค์ทรงพระกรุณารับโทษของหม่อมฉัน ที่ได้โจทพระคุณเจ้า ทัพพมัลลบุตรด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด พระพุทธเจ้าข้า

        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

        เชิญเถิด เจ้าวัฑฒะ โทษได้มาถึงท่านแล้ว ตามความโง่ ตามความเขลา ตามอกุศล ท่านได้เห็นโทษที่ได้โจททัพพมัลลบุตรด้วยศีลวิบัติอันไม่มีมูล โดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม เราขอรับโทษนั้นของท่าน การที่ท่านเห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป นี้เป็นความเจริญในพระอริยวินัย ฯ

        ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นสงฆ์จงหงายบาตรแก่เจ้าวัฑฒะลิจฉวี คือ ทำให้คบกับสงฆ์ได้

        ที่มา ...

        แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 465

        ข้อความต่อไปมีว่า

        องค์แห่งการหงายบาตร

        พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงหงายบาตรแก่อุบาสก ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ คือ:

        ๑. ไม่ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย

        ๒. ไม่ขวนขวายเพื่อไม่เป็นประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย

        ๓. ไม่ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย

        ๔. ไม่ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย

        ๕. ไม่ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกร้าวกัน

        ๖. ไม่กล่าวติเตียนพระพุทธเจ้า

        ๗. ไม่กล่าวติเตียนพระธรรม

        ๘. ไม่กล่าวติเตียนพระสงฆ์

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้หงายบาตร แก่อุบาสกผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้ ฯ

        ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงหงายบาตรอย่างนี้

        เจ้าวัฑฒะลิจฉวีนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าเฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย นั่งกระหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สงฆ์คว่ำบาตรแก่ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคบกับสงฆ์ไม่ได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ ขอการหงายบาตรกะสงฆ์

        พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม ฯ

        ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา

        ที่มา ...

        แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 466


    หมายเลข 12877
    29 พ.ย. 2566