พระเมตติยะและพระภุมมชกะ


        พระมีบุญน้อย และกระทำกรรมที่ผิด

        ถึงแม้ว่าจะเป็นพระภิกษุ แต่ก็มีกรรมที่ต่างกัน

        เรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ มีข้อความว่า

        ก็โดยสมัยนั้นแล พระเมตติยะและพระภุมมชกะเป็นพระบวชใหม่และมีบุญน้อย เสนาสนะของสงฆ์ชนิดเลวและอาหารอย่างเลว ย่อมตกถึงแก่เธอทั้งสอง ครั้งนั้น ชาวบ้านในพระนครราชคฤห์ชอบถวายเนยใสบ้าง น้ำมันบ้าง แกงที่มีรสดีๆ บ้าง ซึ่งจัดปรุงเฉพาะพระเถระ ส่วนพระเมตติยะและพระภุมมชกะ เขาถวายอาหารอย่างธรรมดาตามแต่จะหาได้ มีชนิดปลายข้าว มีน้ำส้มเป็นกับ เวลาหลังอาหารเธอทั้งสองกลับจากบิณฑบาตแล้ว เที่ยวถามพวกพระเถระว่า

        ในโรงฉันของพวกท่านมีอาหารอะไรบ้างขอรับ ในโรงฉันของพวกท่านมีอาหารอะไรบ้างขอรับ

        พระเถระบางพวกบอกอย่างนี้ว่า

        พวกเรามีเนยใส น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อยๆ

        ส่วนพระเมตติยะและพระภุมมชกะพูดอย่างนี้ว่า

        พวกข้าพเจ้าไม่มีอะไรเลยขอรับ มีแต่อาหารอย่างธรรมดาตามแต่จะหาได้ เป็นชนิดปลายข้าว มีน้ำส้มเป็นกับ

        ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะเดือดร้อนไหม

        ที่มา ...

        แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 466

        ขอกล่าวถึงเรื่องของท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะต่อ

        ใน พระวินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๑ เรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ ข้อ ๕๙๕ มีข้อความว่า

        สมัยต่อมา คหบดีผู้ชอบถวายอาหารที่ดี ถวายภัตตาหารวันละ ๔ ที่แก่สงฆ์เป็นนิตยภัต เขาพร้อมด้วยบุตรภรรยาอังคาสอยู่ใกล้ๆ ในโรงฉัน คนอื่นๆ ย่อมถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อยๆ

        ข้อ ๕๙๖

        คราวนั้น ภัตตุทเทสก์ได้แสดงภัตตาหารของคหบดี ผู้ชอบถวายอาหารที่ดีแก่พระเมตติยะและพระภุมมชกะเพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น

        ท่านภัตตุทเทสก์ คือ ท่านพระทัพพมัลลบุตร ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดเสนาสนะและภัตตาหารสำหรับพระภิกษุสงฆ์

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ขณะนั้น ท่านคหบดีไปสู่อารามด้วยกรณียะบางอย่าง เข้าไปหาท่านพระทัพพมัลลบุตร นมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระทัพพมัลลบุตรแสดง ธรรมีกถาให้ท่านคหบดีผู้นั่งแล้ว ให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง

        ครั้นแล้ว คหบดีเรียนถามว่า

        พระคุณเจ้าแสดงภัตตาหารเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ที่เรือนของกระผมแก่ใครขอรับ

        ท่านพระทัพพมัลลบุตรตอบว่า

        อาตมาแสดงให้แก่พระเมตติยะกับพระภุมมชกะแล้ว

        ขณะนั้นคหบดีมีความเสียใจว่า ไฉนภิกษุลามกจักฉันภัตตาหารในเรือนเราเล่า แล้วไปเรือนสั่งหญิงคนรับใช้ไว้ว่า

        แม่สาวใช้ เจ้าจงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ด้วยปลายข้าว มีน้ำผักดองเป็นกับ

        หญิงคนใช้รับคำของคหบดีแล้ว

        ครั้งนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะกล่าวแก่กันว่า

        คุณ เมื่อวานนี้ ท่านภัตตุทเทสก์แสดงภัตตาหารของคหบดีให้พวกเรา พรุ่งนี้คหบดีพร้อมด้วยบุตรภรรยาจักอังคาสพวกเราอยู่ใกล้ๆ คนอื่นๆ จักถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อยๆ

        เพราะความดีใจนั้นแล ตกกลางคืนภิกษุ ๒ รูปนั้น นอนหลับไม่เต็มตื่น

        แสดงให้เห็นถึงเรื่องของกรรมจริงๆ เมื่อท่านเป็นผู้ที่มีบุญน้อย ท่านก็ได้เสนาสนะที่เลวและภัตตาหารที่เลว แม้คหบดีเป็นผู้ที่ถวายภัตตาหารวันละ ๔ ที่แก่สงฆ์เป็นนิตยภัต ก็มีอันทำให้คหบดีได้เข้าไปสู่อารามของท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยกรณียะบางอย่าง และยังได้กราบเรียนถามท่านว่า ท่านแสดงภัตตาหารเพื่อฉันในวันรุ่งขึ้นแก่ใคร ซึ่งเมื่อทราบว่าเป็นท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะ คหบดีนั้นก็เสียใจที่จะได้ภิกษุลามกนั้นฉันภัตตาหารในเรือน ถึงกับสั่งหญิงรับใช้ให้จัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู ไม่ให้เข้าไปถึงในบ้าน และยังให้ถวายเพียงปลายข้าวที่มีน้ำผักดองเป็นกับ

        สำหรับท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะ ก็เป็นคู่หนึ่งของพระภิกษุฉัพพัคคีย์ ซึ่งมีด้วยกัน ๖ ท่าน คือ ท่านพระปัณฑุกะและท่านพระโลหิตกะ คู่หนึ่ง ท่านทั้งสองนี้อยู่ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งก็เคยเป็นภิกษุที่ล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว แต่ว่าไม่ได้เป็นต้นบัญญัติ

        ท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะ คู่หนึ่ง ท่านทั้งสองอยู่ที่กรุงราชคฤห์ เคยล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว และทั้งเป็นต้นบัญญัติด้วย

        ท่านพระอัสสชิและท่านพระปุนัพพสุกะ อีกคู่หนึ่ง อยู่ที่กิฏาคิรีชนบท ซึ่งเป็นภิกษุที่เคยล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว ทั้งเป็นต้นบัญญัติด้วย

        เพราะฉะนั้น เมื่อท่านคหบดีได้ทราบว่า ท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะจะไปสู่เรือนของท่านก็เสียใจ

        ซึ่งท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะก็ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลส เพราะฉะนั้น ก็มีความหวังในรสที่จะได้ในวันรุ่งขึ้น จนถึงกับนอนหลับไม่เต็มตื่น

        ใครเคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม ในอดีต ท่านแสดงชีวิตจริง เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมที่สะสมมาเป็นปัจจัย ก็เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น ซึ่งชีวิตจริงๆ นั้นวิจิตรมาก ตลอดกาลสมัย ไม่ใช่เฉพาะในครั้งที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกเท่านั้น ชีวิตของแต่ละท่านในครั้งโน้น ย่อมเตือนให้ท่านผู้ฟังพิจารณาตนเองว่า เคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ครั้นเวลาเช้า พระเมตติยะและพระภุมมชกะครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตร จีวรเดินเข้าไปยังนิเวศน์ของท่านคหบดี หญิงคนรับใช้นั้น ได้แลเห็นพระเมตติยะและพระภุมมชกะกำลังเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงปูอาสนะถวายที่ซุ้มประตู แล้วกล่าวว่า

        นิมนต์นั่งเจ้าค่ะ

        จึงพระเมตติยะและพระภุมมชกะนึกว่า ภัตตาหารคงจะยังไม่เสร็จเป็นแน่ เขาจึงให้เรานั่งพักที่ซุ้มประตูก่อน

        ขณะนั้น หญิงคนรับใช้ได้นำอาหารปลายข้าวซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับเข้าไปถวาย พลางกล่าวว่า

        นิมนต์ฉันเถิดเจ้าค่ะ

        แม้เขาจะนิมนต์ให้นั่งที่อาสนะซึ่งเขาปูถวายที่ซุ้มประตู ก็ยังไม่หมดความหวัง เพราะคิดว่าภัตตาหารคงจะยังไม่เสร็จเป็นแน่ เขาจึงได้ให้นั่งคอยอยู่ที่นั่น นี่ลักษณะของความหวังจริงๆ เป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับจริงๆ ก็เต็มไปด้วยความหวังอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ภิกษุกล่าวว่า

        น้องหญิง พวกฉันเป็นพระรับนิตยภัตจ้ะ

        กลัวเขาจะไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร จึงได้ถวายแต่เพียงปลายข้าวซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับ

        หญิงคนรับใช้กล่าวว่า

        ดิฉันทราบว่า พระคุณเจ้าเป็นพระรับนิตยภัตเจ้าค่ะ แต่เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดีได้สั่งดิฉันไว้ว่า แม่สาวใช้ เจ้าจงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ด้วยปลายข้าวมีน้ำผักดองเป็นกับ นิมนต์ฉันเถิดเจ้าค่ะ

        พระเมตติยะและพระภุมมชกะพูดกันว่า

        คุณ เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดีไปสู่อารามที่สำนักพระทัพพมัลลบุตร พวกเราคงถูกพระทัพพมัลลบุตรยุยงในสำนักคหบดีเป็นแน่

        เพราะความเสียใจนั้นแล ภิกษุทั้งสองรูปนั้นฉันไม่อิ่ม ครั้นเวลาหลังอาหารกลับจากบิณฑบาตไปสู่อาราม เก็บบาตรจีวรแล้ว นั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิอยู่ภายนอกซุ้มประตูอาราม นิ่งอั้น เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่พูดจา ฯ

        เจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า

        ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็จะละคลายความยินดียินร้าย เพราะรู้ว่าเป็นกรรมที่ได้กระทำไว้ จึงเป็นปัจจัยให้ได้รับรสต่างๆ หรือว่าเห็นสิ่งต่างๆ ได้ยินเสียงต่างๆ เหล่านั้น

        แต่พระเมตติยะและพระภุมมชกะไม่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็ย่อมมีกิเลสทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ท่านพระทัพพมัลลบุตรคงจะยุยงคหบดีผู้นั้น

        นี่ก็เป็นกรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะกิเลส และก็ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงทำให้คิดผิด เข้าใจผิด และขั้นต่อไปก็จะถึงการปฏิบัติผิดด้วย

        คนที่คิดผิด เห็นผิด ก็ไม่ใช่มีเพียง ๒ คน แต่ย่อมมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมากมายเหมือนกันที่จะคิดผิด เห็นผิดเช่นเดียวกัน

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ภิกษุณีเมตติยาไปเยี่ยม

        คราวนั้น ภิกษุณีเมตติยาเข้าไปหาพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้วได้กล่าวว่า ดิฉันไหว้เจ้าค่ะ เมื่อนางกล่าวอย่างนั้นแล้ว ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม นางก็ได้กล่าวว่า ดิฉันไหว้เจ้าค่ะ แม้ครั้งที่สาม ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย

        ภิกษุณีเมตติยาถามว่า

        ดิฉันผิดต่อพระคุณเจ้าอย่างไร ทำไมพระคุณเจ้าจึงไม่ทักทายปราศรัยกับดิฉัน

        ภิกษุทั้งสองตอบว่า

        ก็จริงอย่างนั้นแหละ น้องหญิง พวกเราถูกพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ เธอยังเพิกเฉยได้

        ภิกษุณีเมตติยาถามว่า

        ดิฉันจะช่วยเหลืออย่างไรเจ้าค่ะ

        ภิกษุกล่าวว่า

        น้องหญิง ถ้าเธอเต็มใจช่วย วันนี้พระผู้มีพระภาคต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสึก

        ภิกษุณีเมตติยาถามว่า

        ดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันสามารถจะช่วยเหลือได้ด้วยวิธีไหน

        นี่เป็นความคิดของคนพาล เป็นวิธีของคนพาล

        ภิกษุกล่าวว่า

        มาเถิดน้องหญิง เธอจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลอย่างนี้ว่า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉันถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า

        นางรับคำของภิกษุทั้งสอง แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า

        พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉันถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า ฯ

        ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงประชุมสงฆ์สอบถาม และก็ปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ความผิดของท่านพระทัพพมัลลบุตร

        ท่านผู้ฟังก็ได้เห็นความหวังของบุคคลที่ยังมีกิเลส ซึ่งทำให้เกิดความคิดที่ผิด และได้กระทำกรรมที่ผิด

        เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่จะรักษาอุโบสถศีลประกอบด้วยองค์ ๘ ในข้อที่ ๒ ก็ควรที่จะขัดเกลาจิตใจตามข้อความที่ว่า

        อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ตระหนักชัดดังนี้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายละอทินนาทาน งดเว้นจากอทินนาทาน ถือเอาแต่สิ่งของที่เขาให้ หวังแต่สิ่งของที่เขาให้ มีตนไม่เป็นขโมย สะอาดอยู่ตลอดชีวิต ในวันนี้ แม้เราก็ละอทินนาทาน งดเว้นจากอทินนาทาน ถือเอาแต่สิ่งของที่เขาให้ หวังแต่สิ่งของที่เขาให้ มีตนไม่เป็นขโมย สะอาดอยู่ ตลอดคืนและวันนี้ เราชื่อว่ากระทำตามพระอรหันต์แม้ด้วยองค์นี้ และอุโบสถชื่อว่าจักเป็นอันเราเข้าอยู่แล้ว อุโบสถประกอบด้วยองค์ที่ ๒ นี้ ฯ

        ที่มา ...

        แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 467

        ขอกล่าวถึงเรื่องของท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะต่อ

        ใน พระวินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๑ เรื่องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ ข้อ ๕๙๕ มีข้อความว่า

        สมัยต่อมา คหบดีผู้ชอบถวายอาหารที่ดี ถวายภัตตาหารวันละ ๔ ที่แก่สงฆ์เป็นนิตยภัต เขาพร้อมด้วยบุตรภรรยาอังคาสอยู่ใกล้ๆ ในโรงฉัน คนอื่นๆ ย่อมถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อยๆ

        ข้อ ๕๙๖

        คราวนั้น ภัตตุทเทสก์ได้แสดงภัตตาหารของคหบดี ผู้ชอบถวายอาหารที่ดีแก่พระเมตติยะและพระภุมมชกะเพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น

        ท่านภัตตุทเทสก์ คือ ท่านพระทัพพมัลลบุตร ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดเสนาสนะและภัตตาหารสำหรับพระภิกษุสงฆ์

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ขณะนั้น ท่านคหบดีไปสู่อารามด้วยกรณียะบางอย่าง เข้าไปหาท่านพระทัพพมัลลบุตร นมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระทัพพมัลลบุตรแสดง ธรรมีกถาให้ท่านคหบดีผู้นั่งแล้ว ให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง

        ครั้นแล้ว คหบดีเรียนถามว่า

        พระคุณเจ้าแสดงภัตตาหารเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ที่เรือนของกระผมแก่ใครขอรับ

        ท่านพระทัพพมัลลบุตรตอบว่า

        อาตมาแสดงให้แก่พระเมตติยะกับพระภุมมชกะแล้ว

        ขณะนั้นคหบดีมีความเสียใจว่า ไฉนภิกษุลามกจักฉันภัตตาหารในเรือนเราเล่า แล้วไปเรือนสั่งหญิงคนรับใช้ไว้ว่า

        แม่สาวใช้ เจ้าจงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ด้วยปลายข้าว มีน้ำผักดองเป็นกับ

        หญิงคนใช้รับคำของคหบดีแล้ว

        ครั้งนั้น พระเมตติยะและพระภุมมชกะกล่าวแก่กันว่า

        คุณ เมื่อวานนี้ ท่านภัตตุทเทสก์แสดงภัตตาหารของคหบดีให้พวกเรา พรุ่งนี้คหบดีพร้อมด้วยบุตรภรรยาจักอังคาสพวกเราอยู่ใกล้ๆ คนอื่นๆ จักถามด้วยข้าวสุก กับข้าว น้ำมัน แกงที่มีรสอร่อยๆ

        เพราะความดีใจนั้นแล ตกกลางคืนภิกษุ ๒ รูปนั้น นอนหลับไม่เต็มตื่น

        แสดงให้เห็นถึงเรื่องของกรรมจริงๆ เมื่อท่านเป็นผู้ที่มีบุญน้อย ท่านก็ได้เสนาสนะที่เลวและภัตตาหารที่เลว แม้คหบดีเป็นผู้ที่ถวายภัตตาหารวันละ ๔ ที่แก่สงฆ์เป็นนิตยภัต ก็มีอันทำให้คหบดีได้เข้าไปสู่อารามของท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยกรณียะบางอย่าง และยังได้กราบเรียนถามท่านว่า ท่านแสดงภัตตาหารเพื่อฉันในวันรุ่งขึ้นแก่ใคร ซึ่งเมื่อทราบว่าเป็นท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะ คหบดีนั้นก็เสียใจที่จะได้ภิกษุลามกนั้นฉันภัตตาหารในเรือน ถึงกับสั่งหญิงรับใช้ให้จัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู ไม่ให้เข้าไปถึงในบ้าน และยังให้ถวายเพียงปลายข้าวที่มีน้ำผักดองเป็นกับ

        สำหรับท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะ ก็เป็นคู่หนึ่งของพระภิกษุฉัพพัคคีย์ ซึ่งมีด้วยกัน ๖ ท่าน คือ ท่านพระปัณฑุกะและท่านพระโลหิตกะ คู่หนึ่ง ท่านทั้งสองนี้อยู่ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งก็เคยเป็นภิกษุที่ล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว แต่ว่าไม่ได้เป็นต้นบัญญัติ

        ท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะ คู่หนึ่ง ท่านทั้งสองอยู่ที่กรุงราชคฤห์ เคยล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว และทั้งเป็นต้นบัญญัติด้วย

        ท่านพระอัสสชิและท่านพระปุนัพพสุกะ อีกคู่หนึ่ง อยู่ที่กิฏาคิรีชนบท ซึ่งเป็นภิกษุที่เคยล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว ทั้งเป็นต้นบัญญัติด้วย

        เพราะฉะนั้น เมื่อท่านคหบดีได้ทราบว่า ท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะจะไปสู่เรือนของท่านก็เสียใจ

        ซึ่งท่านพระเมตติยะและท่านพระภุมมชกะก็ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลส เพราะฉะนั้น ก็มีความหวังในรสที่จะได้ในวันรุ่งขึ้น จนถึงกับนอนหลับไม่เต็มตื่น

        ใครเคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม ในอดีต ท่านแสดงชีวิตจริง เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมที่สะสมมาเป็นปัจจัย ก็เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น ซึ่งชีวิตจริงๆ นั้นวิจิตรมาก ตลอดกาลสมัย ไม่ใช่เฉพาะในครั้งที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกเท่านั้น ชีวิตของแต่ละท่านในครั้งโน้น ย่อมเตือนให้ท่านผู้ฟังพิจารณาตนเองว่า เคยเป็นอย่างนี้บ้างไหม

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ครั้นเวลาเช้า พระเมตติยะและพระภุมมชกะครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตร จีวรเดินเข้าไปยังนิเวศน์ของท่านคหบดี หญิงคนรับใช้นั้น ได้แลเห็นพระเมตติยะและพระภุมมชกะกำลังเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงปูอาสนะถวายที่ซุ้มประตู แล้วกล่าวว่า

        นิมนต์นั่งเจ้าค่ะ

        จึงพระเมตติยะและพระภุมมชกะนึกว่า ภัตตาหารคงจะยังไม่เสร็จเป็นแน่ เขาจึงให้เรานั่งพักที่ซุ้มประตูก่อน

        ขณะนั้น หญิงคนรับใช้ได้นำอาหารปลายข้าวซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับเข้าไปถวาย พลางกล่าวว่า

        นิมนต์ฉันเถิดเจ้าค่ะ

        แม้เขาจะนิมนต์ให้นั่งที่อาสนะซึ่งเขาปูถวายที่ซุ้มประตู ก็ยังไม่หมดความหวัง เพราะคิดว่าภัตตาหารคงจะยังไม่เสร็จเป็นแน่ เขาจึงได้ให้นั่งคอยอยู่ที่นั่น นี่ลักษณะของความหวังจริงๆ เป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับจริงๆ ก็เต็มไปด้วยความหวังอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ภิกษุกล่าวว่า

        น้องหญิง พวกฉันเป็นพระรับนิตยภัตจ้ะ

        กลัวเขาจะไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร จึงได้ถวายแต่เพียงปลายข้าวซึ่งมีน้ำผักดองเป็นกับ

        หญิงคนรับใช้กล่าวว่า

        ดิฉันทราบว่า พระคุณเจ้าเป็นพระรับนิตยภัตเจ้าค่ะ แต่เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดีได้สั่งดิฉันไว้ว่า แม่สาวใช้ เจ้าจงจัดอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู แล้วอังคาสภิกษุผู้จะมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ด้วยปลายข้าวมีน้ำผักดองเป็นกับ นิมนต์ฉันเถิดเจ้าค่ะ

        พระเมตติยะและพระภุมมชกะพูดกันว่า

        คุณ เมื่อวานนี้เอง ท่านคหบดีไปสู่อารามที่สำนักพระทัพพมัลลบุตร พวกเราคงถูกพระทัพพมัลลบุตรยุยงในสำนักคหบดีเป็นแน่

        เพราะความเสียใจนั้นแล ภิกษุทั้งสองรูปนั้นฉันไม่อิ่ม ครั้นเวลาหลังอาหารกลับจากบิณฑบาตไปสู่อาราม เก็บบาตรจีวรแล้ว นั่งรัดเข่าด้วยผ้าสังฆาฏิอยู่ภายนอกซุ้มประตูอาราม นิ่งอั้น เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่พูดจา ฯ

        เจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า

        ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็จะละคลายความยินดียินร้าย เพราะรู้ว่าเป็นกรรมที่ได้กระทำไว้ จึงเป็นปัจจัยให้ได้รับรสต่างๆ หรือว่าเห็นสิ่งต่างๆ ได้ยินเสียงต่างๆ เหล่านั้น

        แต่พระเมตติยะและพระภุมมชกะไม่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็ย่อมมีกิเลสทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ท่านพระทัพพมัลลบุตรคงจะยุยงคหบดีผู้นั้น

        นี่ก็เป็นกรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะกิเลส และก็ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงทำให้คิดผิด เข้าใจผิด และขั้นต่อไปก็จะถึงการปฏิบัติผิดด้วย

        คนที่คิดผิด เห็นผิด ก็ไม่ใช่มีเพียง ๒ คน แต่ย่อมมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมากมายเหมือนกันที่จะคิดผิด เห็นผิดเช่นเดียวกัน

        ข้อความต่อไปมีว่า

        ภิกษุณีเมตติยาไปเยี่ยม

        คราวนั้น ภิกษุณีเมตติยาเข้าไปหาพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้วได้กล่าวว่า ดิฉันไหว้เจ้าค่ะ เมื่อนางกล่าวอย่างนั้นแล้ว ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม นางก็ได้กล่าวว่า ดิฉันไหว้เจ้าค่ะ แม้ครั้งที่สาม ภิกษุทั้งสองรูปก็มิได้ทักทายปราศรัย

        ภิกษุณีเมตติยาถามว่า

        ดิฉันผิดต่อพระคุณเจ้าอย่างไร ทำไมพระคุณเจ้าจึงไม่ทักทายปราศรัยกับดิฉัน

        ภิกษุทั้งสองตอบว่า

        ก็จริงอย่างนั้นแหละ น้องหญิง พวกเราถูกพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียนอยู่ เธอยังเพิกเฉยได้

        ภิกษุณีเมตติยาถามว่า

        ดิฉันจะช่วยเหลืออย่างไรเจ้าค่ะ

        ภิกษุกล่าวว่า

        น้องหญิง ถ้าเธอเต็มใจช่วย วันนี้พระผู้มีพระภาคต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสึก

        ภิกษุณีเมตติยาถามว่า

        ดิฉันจะทำอย่างไร ดิฉันสามารถจะช่วยเหลือได้ด้วยวิธีไหน

        นี่เป็นความคิดของคนพาล เป็นวิธีของคนพาล

        ภิกษุกล่าวว่า

        มาเถิดน้องหญิง เธอจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลอย่างนี้ว่า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉันถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า

        นางรับคำของภิกษุทั้งสอง แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า

        พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้กลับมามีลมแรงขึ้น หม่อมฉันถูกพระคุณเจ้าทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า ฯ

        ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงประชุมสงฆ์สอบถาม และก็ปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ความผิดของท่านพระทัพพมัลลบุตร

        ท่านผู้ฟังก็ได้เห็นความหวังของบุคคลที่ยังมีกิเลส ซึ่งทำให้เกิดความคิดที่ผิด และได้กระทำกรรมที่ผิด

        ที่มา ...

        แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 467


    หมายเลข 12873
    28 พ.ย. 2566