นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับเร็วมาก ไม่ใช่ตัวตน


        ผู้ฟัง อย่างนี้รูปที่ตัวเรา เกิดจาก ๔ สมุฏฐาน คือ อุตุ อาหาร จิต และกรรม และไม่ทราบว่า อุตุชรูป อาหารชรูป จิตตชรูป เขาก็เกิดทยอยเสมอ

        สุ. สภาวรูปทั้งหมดค่ะ ต้องใช้คำว่า สภาวรูป รูปที่มีภาวะลักษณะจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดจากสมุฏฐานหนึ่งสมุฏฐานใดใน ๔ สมุฏฐาน ไม่ว่าจะเป็นจักขุปสาทรูป ภาวะ ก็คือเป็นรูปที่สามารถกระทบกับธาตุที่กระทบกับจักขุปสาทได้ โสตปสาทรูปก็เป็นรูป แต่ต่างจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เพราะว่าเป็นรูปที่สามารถกระทบกับธาตุเสียง ซึ่งสามารถกระทบกับโสตปสาทรูป รูปที่เป็นสภาวรูปทั้งหมดมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ

        ผู้ฟัง แล้วก็ทยอยกันเกิดดับ

        สุ. แน่นอนค่ะ ตามอายุ เพราะฉะนั้นที่ตัวของเราเหมือนกับเป็นก้อนแท่ง ทึบ ความจริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ แล้วก็มีรูปแต่ละกลาปเล็กๆ เล็กมาก ที่เกิดจากสมุฏฐานแต่ละสมุฏฐาน รูปที่เกิดจากกรรม ไม่ได้เกิดจากจิต ไม่ได้เกิดจากอาหาร ไม่ได้เกิดจากอุตุ รูปที่เกิดจากจิตก็ไม่ใช่รูปที่เกิดกรรม เพราะฉะนั้นจะเป็นประเภทเดียวกันไม่ได้ เป็นรูปต่างประเภท แล้วเมื่อเกิดแล้วก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วก็ดับไป รูปไหนที่เกิดเมื่อไร ก็แล้วแต่ว่าจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปนั้นก็ดับไป แสดงการเกิดดับของรูปที่เร็วมาก เร็วกว่าที่เราคิดหรือคาดหวัง เพราะฉะนั้นที่ตัวทั้งหมด เหมือนกับเรามีรูปของเรา แต่ความจริงรูปไหนล่ะ รูปใดไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้วหมด ไม่เหลือเลย แล้วมีอะไรที่เป็นของเราจริงๆ ทั้งนามธรรม และรูปธรรม รูปก็ไม่ใช่ของเรา มีอายุแค่ ๑๗ ขณะจิตแล้วก็ดับ นามธรรมก็ยิ่งเร็วกว่านั้นอีก เพียงเกิดขึ้น มี ๓ อนุขณะ แล้วก็ดับไป นี่คือว่างเปล่าจากการยึดถือว่าเป็นของใคร หรือเป็นใคร

        ผู้ฟัง การที่รูปนามเกิดดับเร็วมาก จนไม่เห็นการเกิดดับ ก็ทำให้ยึดว่า มีตัวตน สัตว์ บุคคล ซึ่งเมื่ออบรมปัญญาแล้ว เราก็สามารถทราบความจริงนี้ได้

        สุ. เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่คนอื่นไม่รู้ กำลังเห็นนี่ทุกคนรู้ไหมคะ ว่าเห็นเป็นธาตุ หรือเป็นธรรม เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเลย ไม่กลับมาอีกด้วย ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมในแสนโกฏิกัปที่ผ่านมา ก็จะไม่เข้าใจธรรม หรือว่าชาตินี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจธรรม ก็คงเป็นความไม่รู้ตลอดไปตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกภพทุกชาติ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ได้สะสมอบรมการเห็นประโยชน์ของการมีชีวิตในโลกนี้ด้วยความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่มี เพื่อที่จะได้รู้ว่า จริงๆ แล้วทุกคนเกิดมาแล้วก็ตาย นี่แน่นอนที่สุด จะช้าหรือจะเร็ว ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ แต่สภาพธรรมก็จะต้องเกิดดับสืบต่อเป็นไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าปัญญาสามารถรู้ความจริง และสามารถดับกิเลสได้ ก็จะถึงการสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ได้

        ผู้ฟัง ขั้นฟัง เราต้องฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่า รูปนามเกิดดับ ถึงแม้ว่ายังไม่ถึงปัญญาขั้นประจักษ์ แต่สามารถเข้าใจได้ว่า เห็น ได้ยิน ต้องเกิดแล้วดับ เพราะว่าไม่มีเห็น ได้ยินตลอดเวลา เพียงแต่เรายังไม่ทราบเท่านั้นเอง ยังไม่สามารถเข้าถึงตรงนั้น

        สุ. ค่ะ ขั้นฟังจะนำไปสู่ขั้นปฏิบัติ ปฏิปัตติ ซึ่งจะนำไปสู่ปฏิเวธ เพราะฉะนั้นการศึกษาต้องตามลำดับ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิบัติที่นี่ หมายถึงการเข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ที่หมดไปแล้ว หรือไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่มาถึง แต่ขณะใดก็ตาม สภาพธรรมมีให้รู้ และปัญญาสามารถรู้ เข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรม เมื่อนั้นก็เป็นการอบรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้งว่า ที่ทรงแสดงธรรมไว้ทั้งหมดเป็นความจริง

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 349


    หมายเลข 12481
    16 ม.ค. 2567