หนทางเดียวที่จะละความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ


        ผู้ฟัง ขอกราบเรียนถามเรื่องอกุศลวิบาก และกุศลวิบาก อย่างเช่นสิ่งที่ปรากฏทางหู เสียงที่ได้ยิน คือ เวลาที่เราชอบหรือไม่ชอบ จะเป็นโลภะหรือโทสะ จะเลยลักษณะของสิ่งที่มากระทบว่าเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบากไปแล้ว แต่ทีนี้จะทราบได้อย่างไรว่า สิ่งที่ปรากฏที่เป็นวิบากเป็นประเภทของกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก

        สุ. ทราบเพื่ออะไรคะ

        ผู้ฟัง ทราบเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่า จริงๆ แล้วสภาพธรรมที่ปรากฏมีจริง และแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทตามที่ได้ศึกษามา แต่จริงๆ ในชีวิตประจำวัน เมื่อพิจารณาเสียงที่กระทบหู จะเป็นโลภะ และโทสะเสียส่วนใหญ่

        สุ. ขณะนี้เสียงที่ได้ยินดับแล้ว จะทราบได้อย่างไรว่า เสียงนั้นเป็นเสียงที่เกิดเมื่อจิตได้ยินรู้เสียงนั้น แล้วเสียงนั้นเกิดแล้วกระทบกับโสตปสาท และเมื่อใดที่เสียงนั้นดับไปแล้ว เราสามารถรู้ไหม เรากำลังคิดเรื่องเสียงว่า จิตที่กำลังได้ยินเสียงที่เป็นกุศลวิบากก็มี ที่เป็นอกุศลวิบากก็มี แต่ขณะนี้เสียงดับแล้ว และจิตได้ยินก็ดับไปแล้ว แล้วเราจะรู้ได้ไหมว่าเสียงนั้นดับแล้ว เพราะเสียงก็ดับเร็วมาก ขณะที่กำลังเห็น ไม่ใช่ขณะที่เสียงปรากฏเลย แต่เหมือนกับว่ากำลังเห็น และได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นเสียงดับแล้ว ขณะที่มีสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นจะไปรู้ว่า จิตที่กำลังได้ยินเสียงเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก ลองคิดดูว่าจะรู้ได้ไหม ใครเป็นผู้รู้

        ผู้ฟัง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

        สุ. แล้วเราเป็นใครคะ เทียบกันได้หรือยัง

        ผู้ฟัง เทียบไม่ได้ค่ะ

        สุ. นี่ค่ะ เสียงทุกเสียงกำลังดับไปหมด แล้วจะไปรู้ว่า จิตที่ได้ยินเสียงนั้นเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก เป็นไปได้ไหม

        ผู้ฟัง แต่อย่างลักษณะที่ชัดเจน อย่างรูปธรรมกับนามธรรม สามารถที่จะแยกออก และสามารถเข้าใจได้ ทีนี้ในลักษณะของวิบากที่เป็นกุศลกับอกุศล พอจะมีสิ่งที่ให้พิจารณาหรืออธิบายไว้ไหมคะว่า มันต่างกันอย่างไร

        สุ. ขณะนี้เข้าใจเรื่อง แต่รู้ลักษณะจริงๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนหรือยัง ไม่ว่านามธรรมหรือรูปธรรม ที่กำลังปรากฏด้วย เพราะฉะนั้นกำลังฟังเรื่องราวให้เข้าใจความเป็นอนัตตา เพื่อละคลายความเป็นตัวตน เพื่อที่จะรู้ว่า เวลาที่ปัญญาเกิดขึ้นจะเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ การเข้าใจได้แค่ไหน ก็ลองพิจารณาเองว่า เสียงก็ดับไปแล้ว แล้วจะไปรู้ว่า เสียงนั้นเป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ จิตที่ได้ยินเสียงเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก เป็นฐานะ เป็นวิสัยที่สามารถจะเป็นไปได้ไหม

        ผู้ฟัง อย่างนั้นความเข้าใจที่เคยเข้าใจมาว่า เวลาได้เสียงบริภาษอย่างนี้ เราคิดว่าเป็นอกุศลวิบากที่เราได้รับ ก็เป็นความเข้าใจที่ยังไม่ตรงสภาพธรรมจริงๆ

        สุ. ค่ะ แน่นอน เพราะว่าเสียงไม่ว่าจะมีความหมายอย่างไรก็ตามแต่ หรือไม่มีความหมายใดๆ เลย แต่เสียงก็ต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างเสียงฟ้าร้องกับเสียงดนตรี ไม่มีความหมาย ไม่มีคำที่จะคิดถึงความหมายอะไรเลย แต่ลักษณะของเสียงก็ต่างกัน

        อ.วิชัย เรื่องของการฟังให้เกิดความเข้าใจ ก็เป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ อบรม แม้เราจะกล่าวถึงสภาพของจิตที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แต่เพียงเริ่มค่อยๆ เข้าใจเรื่องราวขึ้น จนกว่าจะมีการปรุงแต่งที่จะทำให้มีความเข้าใจมั่นคงเรื่อยๆ จนกว่าสติจะเกิดระลึกได้ในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะที่กำลังปรากฏในขณะนั้น

        ผู้ฟัง แล้วจริงๆ แล้วสภาพธรรมที่ปรากฏทางกาย ก็มีทั้งแข็ง และอ่อน ที่ปรากฏได้ในขณะที่เกิดจริงๆ อย่างเช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นเช่นนั้น ใช่ไหมคะ

        อ.วิชัย ขณะนี้เลย มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปอย่างหนึ่ง เป็นวัณณรูป และวัณณรูปมาสู่คลองของจักษุ มีการกระทบกันกับจักษุปสาท และเป็นปัจจัยทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นรู้รูปที่ปรากฏในขณะนั้น รูปที่ปรากฏเป็นรูปารมณ์ ทรงแสดงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาที่จิตรู้ขณะนั้นเป็นรูปารมณ์ แต่สภาพของวัณณรูปเอง ก็มีหลากหลาย สีแดงบ้าง สีเหลืองบ้าง แต่เป็นวัณณรูปที่ปรากฏได้เฉพาะทางตาทางเดียว ขณะที่นั่ง มีลักษณะอ่อนแข็ง ขณะที่จับไมโครโฟน มีลักษณะต่างกัน เป็นลักษณะของปฐวีธาตุ แต่ความหลากหลายของธาตุก็มี

        ผู้ฟัง อันนี้กำลังอธิบายถึงลักษณะของรูปที่ต่างกันที่ปรากฏ ใช่ไหมคะ นี่คือลักษณะของจิตที่รู้ อย่างเช่นกายวิญญาณ รู้อารมณ์ที่มากระทบกายปสาท จริงๆ แล้วกายปสาทจะเกิดเนื่องจากผลของกรรม ใช่ไหมคะ

        อ.วิชัย กายปสาทเป็นกัมมชรูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรม

        ผู้ฟัง จะมีความต่างตรงที่ถ้ากรรมดีกับกรรมไม่ดีก็ต่างกัน หรือว่าเหมือนกันทั้งนั้น

        อ.วิชัย เรื่องของกรรมทำอย่างเดียวตลอด หรือทำหลากหลายครับ

        ผู้ฟัง ทำหลายอย่าง

        อ.วิชัย ถ้ากรรมดีให้ผลก็อย่างหนึ่ง กรรมชั่วให้ผลก็อย่างหนึ่ง

        ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นลักษณะของผลของกรรมที่ให้ผล เมื่อมีเหตุที่จะเกิด ก็จะต้องต่างกันใช่ไหมคะ

        อ.วิชัย คือลักษณะจริงๆ ของกายปสาทรูป ต้องดูว่าเป็นลักษณะอย่างไร คือ กระทบกับโผฏฐัพพะเป็นลักษณะ แต่โดยลักษณะของกายปสาทรูปเอง เป็นรูปที่เกิดจากกรรม กรรมก็มีหลากหลาย เรื่องของปสาทรูปก็เป็นผลที่เกิดจากกรรม มีปัจจัยที่กรรมในอดีต ความหลากหลายของปสาทรูปก็ต้องเนื่องจากกรรม แต่ว่าลักษณะของกายปสาท คือ เป็นรูปที่กระทบกับโผฏฐัพพะเป็นลักษณะ เพราะฉะนั้นแต่ละบุคคล กายปสาทรูปมีกรรมในอดีตทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

        ผู้ฟัง ทีนี้ลักษณะของมหาภูตรูป คือ ธาตุดินที่กระทบกับกายปสาท จะกระทบมากกระทบน้อย แสดงถึงความแข็งกับความอ่อน ใช่หรือไม่คะ

        อ.วิชัย คือต้องเข้าใจว่า ขณะที่กระทบ ธาตุดินเหมือนกันทุกอย่างไหมครับ หรือมีความหลากหลาย แต่ว่าลักษณะจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย มีความแข็งมาก แข็งน้อย อ่อนก็มี อันนั้นเป็นลักษณะจริงๆ ของธาตุดิน แต่มากระทบกับกายปสาท แล้วปรากฏแก่กายวิญญาณ

        ผู้ฟัง และในส่วนของกุศลวิบากกับอกุศลวิบาก หมายถึงกายวิญญาณอย่างเดียวใช่ไหม

        อ.วิชัย กายวิญญาณเป็นผลของกรรม เป็นผลของกุศลก็มี เป็นผลของอกุศลก็มี

        ผู้ฟัง ในส่วนของรูปละคะ ที่มีรูปที่ดี และรูปที่ไม่ดี จะปรากฏเฉพาะมหาภูตรูปที่ปรากฏ สมมติว่าเป็นธาตุดินที่ปรากฏ เป็นอ่อนหรือแข็ง จะแยกเฉพาะตรงนั้นที่ปรากฏ หรือแยกด้วยกายวิญญาณที่ปรากฏ ที่เป็นกุศลหรืออกุศล แต่ธาตุดินที่ปรากฏกับกายปสาทที่ปรากฏ ไม่ต่างกัน ยังสงสัยความละเอียดในจุดนี้ค่ะ จริงๆ แล้วยอมรับว่า ไม่ใช่สิ่งที่รู้ได้ แต่อยากจะเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อย

        อ.วิชัย การศึกษาเพื่อเข้าใจว่า ขณะที่กายวิญญาณเกิด เป็นสภาพที่รู้แข็ง เป็นวิญญาณที่รู้แจ้งสภาพเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวทางกาย โดยสภาพลักษณะของกายวิญญาณเป็นอย่างนั้น แต่ทรงแสดงไว้ว่า กายวิญญาณเป็นผลของกุศลกรรมก็มี เป็นผลของอกุศลกรรมก็มี ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ให้รู้โผฏฐัพพะที่ดี ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม รู้โผฏฐัพพะที่ไม่ดี ตามการศึกษาก็เข้าใจว่ามีลักษณะของธาตุรู้จริงๆ ที่ปรากฏ แม้แข็งขณะนี้ จะรู้ไหมว่าเป็นผลของอะไร ขณะที่แข็งปรากฏ ที่นั่งปรากฏ จะรู้ไหมว่าเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ก็เป็นสิ่งที่รู้ไม่ได้ แต่โดยสภาพของกุศลกรรม และอกุศลกรรมก็ให้ผลแล้ว แล้วแต่ว่ารู้โผฏฐัพพะอะไร

        สุ. ก็คงจะเป็นอย่างนี้ คือว่า สภาพธรรม ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย รูปธรรมก็เป็นรูปธรรม ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ความหลากหลายของรูปเกิดจากกรรมก็มี เกิดจากอุตุก็มี เกิดจากอาหารก็มี เกิดจากจิตก็มี แต่รูปที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็แสดงถึงความหลากหลายที่ว่า แม้ว่าขณะนี้ทุกคนจะมีกายปสาท และกำลังมีกายวิญญาณ แต่การรู้รูปที่กระทบกายก็เกิด และดับไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนามธรรม และรูปธรรม ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง จะมีใครสามารถรู้ได้ไหม หรือแม้ทรงแสดงแล้ว ใครสามารถบอกได้ว่า ขณะนี้ที่กำลังนั่ง ขณะนี้เองเป็นกุศลวิบากกายวิญญาณ หรืออกุศลวิบากกายวิญญาณ พอที่จะรู้ได้โดยเวทนา ความรู้สึก ที่ทรงแสดงกำกับไว้ การที่จิตแต่ละประเภทแสดงลักษณะของเวทนาที่เกิดร่วมด้วย ก็แสดงความต่างกันว่า ถ้าเป็นกุศลวิบาก รู้สิ่งที่กระทบกาย เวทนาขณะนั้นก็เป็นสุขเวทนา ถ้าเป็นอกุศลวิบาก เป็นผลของอกุศลกรรม รู้รูปที่กระทบกาย เวทนาก็เป็นทุกขเวทนา แม้ว่าจะทรงแสดงไว้อย่างนี้ รู้อย่างนี้หรือเปล่า บอกได้ไหมว่า ขณะนี้ที่กำลังกระทบ จะเป็นตรงมือหรือตรงเท้า หรือจะเป็นตรงไหนก็ตามแต่ ขณะนั้นรูปที่กระทบเป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ เพราะเวทนาบอกได้ไหม ขณะนี้ลองสัมผัสที่แขน บอกได้ไหมว่า เวทนาขณะนั้นเป็นอะไร สุขหรือทุกข์ ผมเส้นหนึ่ง อาจจะกำลังตกอยู่ที่หน้าผาก เส้นเดียวเอง บอกได้ไหม ทุกขเวทนาหรือสุขเวทนา บอกไม่ได้เลย แต่รำคาญไหม

        เพราะฉะนั้นการฟังธรรม แม้เป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ละเอียด และลึกซึ้ง และที่รู้ไม่ได้เพราะสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ประมาณไม่ได้เลย อย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า ขณะนี้ใครจะคิดได้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดดับ ไม่เห็นทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นการสืบต่ออย่างเร็วมาก รูปก่อนต้องดับแล้ว และดับอยู่เรื่อยๆ แต่ก็มีการสืบต่ออยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏจึงเป็นนิมิต เป็นแต่เพียงสิ่งที่ทำให้รู้ได้ว่า กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา

        เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรม คือ ฟัง แล้วสามารถรู้จักตัวเอง ปัญญาของเราที่เริ่มฟังธรรมระดับไหน กำลังฟังธรรมซึ่งมีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่รู้จบ เพราะเหตุว่าไม่มีทางที่จะจบได้เลย ถ้าไม่ถึงจิตขณะสุดท้ายของพระอรหันต์ ที่เมื่อดับแล้วก็จะไม่มีนามธรรม และรูปธรรมเกิดอีกเลย แต่ว่าทั้งวันก็เป็นสภาพธรรมทั้งหมด โดยไม่เคยรู้เลย เพราะฉะนั้นก็เห็นได้ว่า ความลึกซึ้งของสภาพธรรมทั้งนามธรรม และรูปธรรม เกินกว่าที่เราคิดคาดคะเนสักแค่ไหน กับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็เกิดดับ ปรากฏเป็นนิมิต และสัญญาก็จำ แต่ขณะนี้มีขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงๆ ปรากฏเมื่อจิตเห็น เท่านั้นจริงๆ กำลังหลับสนิท ไม่มีจิตเห็น ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ อาหารอร่อย รสกำลังปรากฏ ก็ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้

        นี่คือความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งเป็นจริงอย่างนั้น ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่กว่าปัญญาจะเริ่มเข้าใจแต่ละลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เรามีความเป็นตัวตนรีบร้อน เมื่อไรจะรู้อย่างนั้น หรือเมื่อไรจะรู้อย่างนี้ แต่ฟังเพื่อสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพื่อระลึกลักษณะของสภาพธรรม และรู้ลักษณะที่ไม่ใช่เป็นแต่เพียงชื่อที่เราเข้าใจ และเริ่มเข้าใจอีกระดับหนึ่ง นี่คือการฟังธรรม

        ผู้ฟัง ขอทบทวนความเข้าใจว่า เมื่อกรรมทำให้กายปสาทรูปเกิด กายปสาทรูปก็มีหน้าที่กระทบอ่อน แข็ง เย็น ร้อน จะเป็นอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจตรงนี้ เพื่อไม่ให้คำของเราไปปิดบังลักษณะของสภาพธรรม อันนี้ไม่ทราบว่าจะสับสน และเข้าใจถูกหรือเปล่า

        สุ. ก็คงไม่ลืมว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม เพื่อรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นลักษณะของธาตุหรือธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งถ้าไม่เกิดขึ้นจะปรากฏไม่ได้เลย แต่เมื่อเกิดขึ้น แสดงว่ามีปัจจัยปรุงแต่งให้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นๆ ตามปัจจัย ปรากฏนิดเดียวแล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย และไม่กลับมาอีกเลย เพื่อที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่มีเรา กี่ภพกี่ชาติ ก็เพื่อจะให้เข้าใจถูกต้องว่า ธรรมเป็นธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เราสะสมความไม่รู้มานานมาก และไม่ว่าเราจะเกิดที่ไหนก็ตาม ก็มีสภาพธรรมปรากฏ ถ้ามีการฟังที่สะสมมา ก็สามารถรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นธรรม แล้วก็ค่อยๆ สะสมความรู้ถูก ความเห็นถูกในลักษณะนั้นเพิ่มขึ้น จนกว่าจะประจักษ์ความจริงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง จะผิดจากที่เป็นความจริงไม่ได้เลย เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเกิดดับ แค่นี้จะไปทำอย่างอื่นไหมคะ หรืออยากจะไปรู้อย่างอื่น แต่ว่าฟังจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า แม้กำลังฟัง แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ กำลังเริ่มเข้าใจถูกหรือเปล่าว่า เป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่ง ถ้าเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย จะค่อยๆ ละความติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏไหม

        หนทางเดียวที่จะละความติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ เพราะรู้ความจริงในสภาพธรรมแต่ละลักษณะว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

        ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าเราฟังเข้าใจ ก็จะละคลายความยึดมั่นแม้ขั้นฟังได้ และจะนำไปสู่การเข้าถึงลักษณะตามที่เราฟัง

        สุ. ถูกต้องค่ะ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 350


    หมายเลข 12483
    16 ม.ค. 2567