เพื่อเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ฟังเข้าใจแล้วไมใช่จำ


        ประทีป ช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมว่า ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่า การศึกษาตัวเอง ศึกษาว่า เป็นพ่อ เป็นตาของหลาน อะไรอย่างนี้ เป็นการศึกษาตัวเองดีกว่า ดีพอแล้ว หรือยัง

        สุ. การศึกษาธรรมก็จะต้องรู้ว่า ธรรมคืออะไร และอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ในหนังสือ แต่ว่าขณะนี้ หรือไม่ว่าจะพูดเรื่องอินทรีย์ หรือชื่อแปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งเราอาจจะไม่เข้าใจ เคยได้ยินแต่นกอินทรีย์ แต่ว่าอินทรีย์จะเป็นอย่างไร ไม่ใช่นกตัวใหญ่ๆ แต่ว่าแม้แต่ละคำที่เราได้ยิน เราก็ต้องพิจารณาไตร่ตรอง แล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังมี

        นี่คือประโยชน์ของการศึกษาธรรม สิ่งที่กำลังมี ตั้งแต่คำที่ง่ายที่สุด คือ คำว่า “ธรรม” จนถึงคำว่า “ธาตุ” ถึงอายตนะ ถึงปฏิจสมุปปาท ถึงอริยสัจธรรม ก็ขณะนี้เอง เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราไปได้ยินชื่อแล้วไปสะสมชื่อ แล้วไปจำความหมายของชื่อ แต่ไม่มีความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า ขณะนี้สิ่งที่เคยมีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน นั่นเป็นธรรม

        เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ก็คือว่าเข้าใจสิ่งที่กำลังมีให้ถูกต้อง มิฉะนั้นเราก็เป็นผู้เกิดมาแล้วไม่รู้อะไรในสิ่งที่มีจริงๆ หลงยึดถือเหมือนสิ่งที่มีในความฝัน เสร็จแล้วพอถึงเวลาจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนอย่างฝันอยู่ว่า มีทุกสิ่งทุกอย่าง

        เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังให้เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังมี ไม่ว่าจะพูดคำอะไรทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็จะขอยกตัวอย่าง อย่างคำว่า “ธรรม” ขณะนี้ ทุกอย่างที่มีจริง ไม่ใช่ตัวตนจึงเป็นธรรม หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เมื่อเป็นธรรม จึงไม่ใช่ตัวตน

        แค่นี้ก็ต้องพิจารณาแล้ว ถ้าเป็นคนเผิน ก็รับฟัง และก็ต่อไปถึงชื่อต่างๆ อีกมาก แต่ขณะนี้มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ การฟังไม่ใช่ฟังเรื่องอื่นให้เข้าใจ แต่กำลังฟังเรื่องที่กำลังมี กำลังเป็นอยู่ทุกขณะ จนกว่าความเข้าใจจะเพิ่มขึ้น เป็นความเข้าใจที่เข้าใจจริงๆ ในลักษณะของธรรมว่า ธรรมเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็จะไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

        เพราะฉะนั้นที่จะกล่าวว่า ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรม แล้วธรรมก็คือสิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นตัวตน ก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน พ้นจากธรรมไม่ได้เลย แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

        เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ก็คือว่า เมื่อเข้าใจแล้ว สิ่งที่เคยมี ที่เคยเป็นเรา ก็เริ่มมีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่เราได้ยินได้ฟังทั้งหมด ไม่ใช่ตอนที่เราได้ยินได้ฟัง เป็นธรรมในตำรา พอชีวิตจริงๆ หายไปไหนหมดไม่รู้ กลายเป็นตัวเราไปทั้งวัน

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรามีความเข้าใจเรื่องธรรมจริงๆ เวลาที่ธรรมใดเกิดปรากฏ ก็สามารถระลึก และเข้าใจในลักษณะนั้นว่า เป็นธรรมที่เคยได้ยินได้ฟังนั่นเอง อย่างตา มี ไม่น่าสนใจ แต่พอบอกว่า จักขุนทรีย์ สนใจ นั่นมันอะไรกัน ไปสนใจชื่อ หรือว่าเพียงตาธรรมดาที่กำลังมี เข้าใจ หรือยัง ถ้าไม่เข้าใจลักษณะของตา ก็จะไปเข้าใจ

        จักขุนทรีย์ไม่ได้

        เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ใช่ไปข้ามขั้น จับตัวหนังสือมา แล้วก็บอกว่ามีจำนวนเท่าไร ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่รู้ว่า สิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง กำลังมี และความเข้าใจแค่ไหน อย่างตา มี มองเห็นไหมคะ เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏแล้วจำว่า รูปร่างอย่างนี้แหละเป็นตา แต่ตัวจักขุปสาทจริงๆ ตัวจักขุนทรีย์ กว่าจะรู้ความหมายของจักขุนทรีย์ ก็ต้องเข้าใจว่า สภาพธรรมที่เป็นตา ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ และถ้าไม่มีสิ่งนั้นแล้ว จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ ไม่สามารถจะมองเห็นได้เลย เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏ เราไปจำเอาไว้ต่างหากว่า รูปร่างอย่างนี้เป็นตา แต่ตัวจักขุปสาทจริงๆ ไม่มีใครสามารถจะมองเห็นได้ เพราะว่าในบรรดารูปทั้งหมด มีรูปเดียวที่ปรากฏให้เห็น คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้

        นี่คือการที่จะเข้าใจธรรมที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน จนกว่าจะรู้ว่า ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ใครด้วย เป็นธรรม ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงเป็นสัจญาณ มิฉะนั้นการศึกษาของเราก็เป็นเพียงการจำชื่อ ฟังอีก ๒๐ ปี ก็ได้แค่ชื่อ แล้วก็ไปจำจำนวนไว้ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความจริงของธรรมโดยถ่องแท้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง จะไปปนเปกับจักขุปสาท ซึ่งสามารถจะรับกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ไม่ได้ สีสันวัณณะเป็นรูปธรรม ไม่ใช่จักขุปสาท เห็นเมื่อไร ก็คือสีสันวัณณะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตัวจักขุปสาท ไม่ใช่โสตปสาท แล้วก็พอที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ไหมว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น แล้วก็ลองคิดดูว่า แม้แต่คำว่า “อินทรีย์” สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ ถ้าพิจารณาถึงความเป็นใหญ่แต่ละสภาพที่มีจริงๆ ลองคิดเอง สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นใหญ่ หรือเปล่า เป็น แต่ความจริงเป็นไม่ได้เลยค่ะ ที่เป็นคือจักขุปสาท ไม่ใช่รูป คือสิ่งที่มีอยู่เสมอเวลาที่มีมหาภูตรูป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ต้องมีสิ่งนี้รวมอยู่ด้วย เพื่อว่าเวลากระทบ มีแสงสว่าง ก็จะปรากฏเป็นสีสันต่างๆ

        นี่ก็แสดงถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วไม่เคยรู้เลย ศึกษาเพื่อให้เข้าใจถูก มีโอกาสได้ฟังคำว่า “พุทโธ” หรือ “สัมมาสัมพุทโธ” พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะล่วงขณะที่สามารถจะได้ฟังพระธรรม ก็ไม่มีทางที่ออกจากสังสารวัฏฏ์ หรือจะมีความรู้ใดๆ เลย ก็ต้องเป็นความไม่รู้ไปเรื่อยๆ

        เพราะฉะนั้นการฟัง ฟังให้ละเอียด ฟังให้เข้าใจ อย่าไปคิดว่า กำลังฟังเรื่องชื่อ เรื่องราวต่างๆ แต่ตัวจริงๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจเลย ก็ไปกล่าวชื่อได้ว่า จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์

        เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นเพียงให้ทราบว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น และเมื่อมีการฟังเมื่อไร ก็ค่อยๆ เข้าใจ อย่าลืม ค่อยๆ เข้าใจเรื่องราวของสิ่งที่มีจริง ทั้งๆ ที่ตัวจริง มีจริงๆ และกำลังทำกิจการงานอยู่ด้วย แต่ไม่เคยรู้ลักษณะของตัวจริงนั้นเลย เพราะว่ากำลังฟังเรื่องราวของสภาพธรรม เพื่อให้เข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ฟังเข้าใจแล้ว แต่ไม่ใช่เพื่อไปจำเป็นจำนวน หรือเป็นอะไร โดยที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 289


    หมายเลข 12182
    27 ม.ค. 2567