จะหลงอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร


        อ.วิชัย รู้สึกว่า ความรู้เพียงเล็กน้อยที่ค่อยๆ รู้ขึ้น แต่ก็ประมาทตัณหา มานะ ทิฏฐิไม่ได้เลย ที่จะไม่มีความยินดีอย่างนั้น

        สุ. ค่ะ ต้องเป็นผู้รู้ว่า ธรรมละเอียด และโลภะมีกำลังมหาศาล พร้อมทั้งอวิชชาที่สะสมมาเนิ่นนาน แล้วก็มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย แม้ว่าความเห็นผิดที่ปรากฏชัดๆ ไม่มี แต่ก็มีความเห็นผิดธรรมดา คือ สักกาย เห็นผิดว่าขณะนี้มีคน มีวัตถุ มีสิ่งต่างๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นการฟังก็ต้องฟังโดยละเอียด จนกระทั่งเข้าใจ จนกระทั่งเห็นถูกต้องว่า ขั้นฟังนี่รู้ละว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เป็นสภาพธรรมที่เพียงปรากฏ หลังจากนั้นก็มีการคิดนึกจากสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อเร็วมาก ประมาณไม่ได้เลย จนกระทั่งสามารถลวงให้เห็นด้วยนิมิตต่างๆ ที่ปรากฏรูปร่างสัณฐานต่างๆ

        เพราะฉะนั้นกว่าจะลอก หรือสามารถเห็นว่า ความจริง นิมิต เป็นเพียงสิ่งที่ต้องมีปรมัตถธรรม แต่ปรมัตถธรรมนั้นเกิดแล้วดับแล้ว หมดไป ส่วนที่เหลือทั้งหมด ทางตาก็เป็นรูปนิมิต ทางหู เป็นเสียงนิมิต ทางจมูก เป็นกลิ่นนิมิต ทางลิ้น เป็นรสนิมิต ทางกาย ก็เป็นโผฏฐัพพนิมิต รวมความว่า ทั้งหมดเป็นสังขารนิมิต เพราะการเกิดดับอย่างรวดเร็ว

        เมื่อเป็นความเข้าใจระดับนี้ จะค่อยๆ ปรุงแต่งให้คลายการที่รู้ว่าหลง หลงมานานแสนนาน อยู่ในโลกของนิมิตหรือความฝัน เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แล้วจะหลงอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร ประมาณไม่ได้เลย ถ้าความเข้าใจธรรมไม่เจริญขึ้น ด้วยความเป็นผู้ตรง และมั่นคง ในการที่จะรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

        ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ อบรม ไม่ใช่เป็นเรื่องไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เราใช้ภาษาไทยว่า “ปฏิบัติ” ก็เข้าใจว่า หมายถึง “ทำ” แต่ความจริงไม่ใช่เป็นการทำ แต่เป็นการเข้าถึง หรือถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และก็จะประจักษ์จริงๆ ว่า สภาพธรรมที่ปรากฏ เกิดแล้วดับไป จึงจะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 273


    หมายเลข 12085
    23 ม.ค. 2567