คำพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


        อรร. ผู้ที่กล่าว หรือ แสดงธรรม ต่างก็อ้างว่า เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น แต่จะรู้ได้อย่างไร ว่าคำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ คำของพระองค์เป็นอย่างไร จากการสนทนา "ตติยอนาคตสูตร" ที่ มศพ. ๔ มกราคม ๒๕๖๓

        สุ. คำใดที่มีใครอ้าง ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ กล่าวว่า พระองค์ตรัสว่าอย่างนี้ หรือกล่าวว่านี่คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนฟังจะรู้ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือ ก็คือ เมื่อคำนั้นกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ ให้มีความเข้าใจจากการที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย เช่นขณะนี้ เห็นเกิดแล้ว จริงไหม และคนอื่นจะพูดเรื่องนี้ไหม ว่า เห็นเกิดแล้ว และไม่มีใครทำให้เห็นเกิดได้เลย จริงไหม แล้วเห็นที่เกิดก็ดับด้วย เพราะเหตุว่า มีอย่างอื่นไม่ใช่มีแต่เห็นอย่างเดียว

        เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ฟัง กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้มีความเข้าใจโดยการไตร่ตรองว่า เป็นคำจริงหรือเปล่า พูดถึงสิ่งอะไร พูดถึงสิ่งซึ่งทุกคนสามารถจะเข้าใจได้ เพราะว่ากำลังมีจริงๆ ไม่ต้องไปค้นหา ไม่ต้องไปแสวงหาที่หนึ่งที่ใดเลย แต่ถ้ามีสำนักปฏิบัติ หมายความว่า เขาไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริง

        เพราะฉะนั้น แต่ละคำ สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ นำมาซึ่งความเข้าใจ ซึ่งไม่เคยเกิดมีมาก่อนเลย จะกล่าวได้ว่าในสังสารวัฎ เพราะฉะนั้น คำเหล่านี้ เป็นความจริงซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง ใช่ไหม เช่น สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เกิดแล้ว ลึกซึ้งไหม แล้วเกิดได้ยังไง ใครไปทำให้เกิด แต่ เกิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเกิดมาได้ยังไง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปัจจัยที่อาศัยปรุงแต่งให้จิตนั้นเกิดขึ้น และแสดงว่า เกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ ทุกคำนำมาซึ่งความที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แล้วก็เป็นผู้ที่ตรง แล้วก็รู้ว่า ใครจะให้เข้าใจความจริงอย่างนี้ได้ว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา จะนำไปสู่การลึกซึ้งที่รู้ว่าเป็นจริงอย่างนั้นได้ เมื่อได้ฟังคำของพระองค์เพิ่มขึ้น ว่าสิ่งนี้ เกิดแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

        เมื่อกี้นี้เป็นอย่างไร ยังไม่รู้ถึงการเกิดและดับของสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไป และเดี๋ยวนี้ ก็กำลังไม่รู้ด้วย ว่าที่เกิดที่ปรากฎ เกิดแล้วดับด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่ใช่เพียงแต่ให้คนสงสัย แต่นำมาซึ่งความเริ่มเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยว่า ถ้าไม่ทรงตรัสรู้อย่างนี้ จะกล่าวคำนี้ได้ไหม และคำนั้นเป็นคำจริง ซึ่งไม่เปลี่ยน และใครก็สามารถที่จะเข้าใจได้ เมื่อฟังและไตร่ตรอง

        เพราะฉะนั้น ก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากคำของพระองค์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกคำที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ก็จะเห็นความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ว่า "ธรรมลึกซึ้ง" ไม่มีการที่จะคิดว่า รู้แล้ว เพียงขั้นฟังไม่สามารถที่จะรู้แล้วได้เลย ต้องเป็นผู้ตรง ใครว่าธรรม ไม่ต้องศึกษา ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามลำดับ ใช่ไหม ไม่ตามลำดับได้ไหม จะสร้างบ้านสักหลังหนึ่ง จะเรียนวิชาการใดใด ทั้งสิ้น ทีละคำ แต่ละคำ ทีละบท จนกว่าสามารถที่จะถึงความเข้าใจยิ่งขึ้นๆ ฉันใด คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ นำมาซึ่งการที่จะเข้าใจความจริงยิ่งขึ้น ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ประมาณไม่ได้เลย อริยสัจจธรรม ทุกคำไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่จะนำไปสู่การเข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างนี้ จึงหมดกิเลสได้ ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนมีที่พึ่งของตนเอง เมื่อมีปัญญา คือรู้ว่าใครแน่ที่เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่คนอื่นเลย นอกจาก พระรัตนตรัย


    หมายเลข 11966
    5 ธ.ค. 2566