ปัญญามีหน้าที่ละโลภะ


    ด้วยเหตุนี้การฟังก็จะทำให้เข้าใจถึงผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในอดีตกาลท่านสะสมอบรมปัญญานานไหมคะกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ และแม้เมื่อ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ก่อน เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ได้ทรงพยากรณ์สุเมธดาบสว่าอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ สุเมธดาบสจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดม บุคคลในครั้งนั้นเป็นยังไงคะคุณนีน่า เสียใจว่าเราไม่รู้หรือว่าดีใจว่าแม้เรายังไม่รู้ขณะนี้ แต่เราก็ยังมีการที่เราจะรู้ได้ถ้ามีการสะสมต่อไป นี่คือความเห็นถูก นี่คือความอดทน ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง เผาอะไรคะตบะ เผาโลภะ เพราะเหตุว่าขณะนี้ถ้าฟังดู ทุกคนเห็นประโยชน์ของการฟังธรรม รู้ว่าธรรมยาก แต่อยากที่จะถึงนิพพาน หรือว่าบอกว่ายากเกินไป

    อยากจะมีเราที่ถึง ไม่ใช่เป็นปัญญาที่ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็สามารถที่จะละความไม่รู้ได้ ด้วยเหตุนี้ปัญญามีหน้าที่ละโลภะ แล้วก็จะเห็นโลภะละเอียดขึ้น เพราะเหตุว่าแต่ก่อนนี้เห็นโลภะอย่างหยาบ ชอบสิ่งที่น่าดู อยากจะได้รสอร่อย ก็เห็นเพียงเท่านี้ แต่ว่าปัญญา (เสียงเป็น โลภะ) ที่รู้ความจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่มีการยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏ ไม่มีความยินดีพอใจเพราะว่าต้องละตั้งแต่ความเห็นผิด เป็นพระโสดาบันแล้วก็ยังไม่หมดที่จะต้องละต่อไปคือละความติดข้องในรูป เสียง รส กลิ่น โผฏฐัพพะ ในสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ปรากฏจริงๆ ในชีวิตประจำวันคือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เสียงปรากฏทางหู กลิ่นปรากฏทางจมูก รสปรากฏทางลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวที่ปรากฏทางกาย ก็มีสิ่งแค่นี้เองแต่ก็ติด ต้องการอยู่ตลอดมากมายรวดเร็วไม่จบ


    หมายเลข 11635
    24 พ.ค. 2568