ละความสงสัย ละความติดข้อง จึงสามารถประจักษ์การเกิดดับได้


        แต่ขั้นเข้าใจก็ยังไม่พอ เพียงขั้นเข้าใจเรื่องราว แม้ว่ามีสิ่งจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แต่เริ่มที่จะรู้ว่าเป็นธรรมโดยขั้นฟัง ยังไม่ถึงขั้นสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐานที่ถึงเฉพาะแต่ละลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติจริงๆ ในขณะนี้ด้วยความที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นคุณประทีปก็จะสังเกตได้ แม้ฟังเรื่องจิต ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะของจิต แต่เริ่มเข้าใจเรื่องราวของจิตพอเวลาที่มีสติสัมปชัญญะ เพราะขณะนี้มีจิตก็รู้ว่ามีสภาพรู้ที่กำลังเห็นมีแน่ๆ ไม่มีรูปร่างเลย แต่เป็นลักษณะที่สามารถกำลังเห็น ขณะนั้นก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าสามารถที่จะละความสงสัย แล้วก็ละความติดข้อง จึงสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ ถ้าตราบใดยังเป็นความไม่รู้ ความสงสัย ไม่ได้ละคลายโดยความค่อยๆ รู้ขึ้น ไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมเลย เพราะฉะนั้นบางท่านที่ท่านสงสัย แล้วท่านก็ถามว่าอยู่ๆ ท่านจะปฏิบัติแบบไหนมาก็ไม่ทราบ ท่านเป็นชาวต่างประเทศ แล้วท่านก็บอกว่าเกิดสภาพธรรมดับไปเป็นห้วงๆ จากการศึกษาซึ่งไม่พอ ไม่ละเอียด อาจจะทำให้หลงเข้าใจว่าขณะนั้นเป็นปัญญาที่ได้ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ด้วยเหตุนี้การฟังจึงต้องมีความเข้าใจ ความละเอียดยิ่งของพระธรรมซึ่งแสดงเรื่องของธรรมตามที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีประจักษ์แจ้งความจริงว่าปัญญาต้องเจริญตามลำดับ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมใดก็ตามแม้มีจริง แต่ถ้าปัญญาไม่ค่อยๆ รู้ ไม่ค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งมีการค่อยๆ คลาย ไม่ชื่อว่าเป็นปัญญาจริงๆ เพราะเหตุว่าในขณะที่เหมือนกับสภาพธรรมนั้นดับเป็นห้วงๆ ก็ไม่ได้รู้อะไรเลย ก็มีความสงสัย แล้วก็อยากจะรู้ แล้วก็ถาม นี่ไม่ใช่ลักษณะของอโมหเจตสิกหรือปัญญาเจตสิกซึ่งเป็นปัญญาของตนเอง จากการที่ได้ฟังแล้ว เห็นความละเอียด และก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าขณะนั้นเมื่อไม่ใช่ความรู้มีประโยชน์อะไร สภาพธรรมที่เสมือนว่าดับไปเป็นปัจจัยให้เกิดสงสัย เป็นปัจจัยให้เกิดติดข้อง เป็นปัจจัยให้ต้องการ อยากจะให้มีสภาพธรรมนั้นอีก เพราะหลงเข้าใจว่าได้ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 236


    หมายเลข 11618
    23 ม.ค. 2567