ความเข้าใจลักษณะนั้นลึกซึ้งถูกต้องระดับไหน


        ผู้ถาม ถ้าอย่างนี้ในวันหนึ่งๆ ที่เราคิดว่าเรารู้แล้วก็เข้าใจสภาพจิตที่เกิดกับตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นอกุศลหรือกุศลก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงใช่ไหม

        สุ. เป็นเราที่จำ เป็นเราที่คิด เป็นเราที่รู้

        ผู้ถาม แต่ว่าสภาพนั้นๆ ก็มีจริง

        สุ. ยังไม่ได้หมดความเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็มีกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา และกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ธรรมทั้งหมดเป็นชื่อ ซึ่งเราจะเริ่มค่อยๆ คุ้นหู แต่ว่าความเข้าใจลักษณะนั้นลึกซึ้งถูกต้องระดับไหน หรือเพียงแต่จำชื่อ จำคำแปล จำความหมาย แล้วก็นึกถึงชื่อเวลาที่สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น อย่างขณะนี้ที่กำลังฟังกุศลหรืออกุศล เห็นไหม ตอบโดยชื่อก็ตอบได้ แต่ถ้าตอบจริงๆ ถึงขณะจิตเกิดแล้วดับแล้ว ถ้าไม่รู้จริงๆ ว่าลักษณะนั้นเป็นธรรม กุศลก็ยังเป็นเรา อกุศลก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อให้เข้าใจจริงๆ ในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนตั้งแต่ขั้นฟัง จนกระทั่งขั้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งค่อยๆ รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ที่พระผู้ทีพระภาคตรัสว่า “ผู้ที่ไม่รู้ก็เหมือนกับไก่ที่ยังไม่ได้ออกมานอกเปลือก มีตัวไก่เล็กๆ อยู่ในเปลือกไข่ และก็ยังไม่ได้ออกมานอกเปลือกไข่เลย” ใครเป็นบุคคลแรกที่ออกมา

        ธิ. ก็มีอุปมาว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุปมาเหมือนกับลูกไก่ตัวพี่หรือว่าลูกไก่ที่สามารถเจาะเปลือกไข่ออกมาได้ก่อน ซึ่งก็อุปมาเปลือกไข่เหมือนกับตัณหา และอวิชชาที่หุ้มห่อไข่เอาไว้ เหมือนกับการฟักให้ไข่นั้นค่อยๆ ที่จะเป็นตัว และก็ตัวลูกไก่นั้นเมื่อได้การอบรมจากธรรมก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น จงอยปากก็เหมือนกับปัญญาที่มีกำลังที่จะเจาะแทงตัณหา และอวิชชาออกมาจากเปลือกไข่นี้ได้

        สุ. ฟังแล้วซาบซึ้งหรือยัง จะซาบซึ้งยิ่งขึ้นถ้าได้เข้าใจว่าทำไมแม้แต่เพียงไข่ แค่ไข่ พระผู้ทีพระภาคจึงทรงอุปมาให้เห็นความจริง ไข่ถ้าเป็นคนอื่นก็กระเทาะ และก็ออกมาได้ง่ายมาก แต่ตัวไก่ที่อยู่ในไข่ที่กว่าจะออกมาได้ด้วยตัวเองลำบากหรือยากสักแค่ไหน แล้วเวลาที่ทรงอุปมาเหมือนกับไข่ก็ใบเล็กๆ แล้วสิ่งที่อยู่ในไข่ก็ต้องเริ่มจากมองไม่เห็นเลยกว่าจะเป็นตัว กว่าจะแข็งแรง เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความถูกต้องตามความเป็นจริง อวิชชากับโลภะมากมายแค่ไหน ก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เฉพาะเพียง ๔ อสงไขยแสนกัปป์หลังจากที่ได้รับพยากรณ์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ก่อนนั้นก็มีการเกิดดับของจิตซึ่งเกิดสืบต่อจนกว่าจะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราอยู่ที่ไหน ก็ต้องอยู่ด้วย มีด้วย ไม่ได้หายไปไหนเลย แต่ว่าไม่ได้อบรมปัญญาที่จะทำให้สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นความจริงของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เป็นของธรรม แต่ต้องเป็นปัญญาระดับไหนที่สามารถจะแทงตลอดรู้ความจริง เข้าใจคำที่ใช้คำว่าภาวะที่เห็น สภาพนามธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่สามารถจะเป็นอย่างอื่นไปได้เลยแล้วก็ดับไปสืบต่อตั้งแต่ ณ กาลครั้งไหนจนถึง ณ บัดนี้ เพราะว่าอดีตเป็นสิ่งซึ่งแม้จะทรงระลึกชาติในยามแรกของคืนที่จะตรัสรู้ก็ไม่มีการจบสิ้น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่ากว่าจะได้รู้ความจริงของสภาพธรรมต้องเป็นความเห็นที่ถูกต้องตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นเข้าใจ และก็อบรมที่จะรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงนี้แหละที่ลึกซึ้งที่เป็นความจริง ปัญญาที่อบรมมาแล้วเท่านั้นจึงสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมนั้นได้ เพราะฉะนั้นก็มีผู้ที่ได้ฟังอย่างนี้แล้วก็กล่าวว่านี่เป็นวิริยารัมภกถาใช่หรือไม่ เพราะว่าถ้ากล่าวถึงอย่างนี้ ผู้ที่เห็นความจริง จะมีความเพียรที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ความจริงเหมือนไฟไหม้บนศรีษะ แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าจะรวดเร็ว แต่หมายความว่ายังมีความรู้สึกว่าความไม่รู้มากมายแค่ไหน แล้วกว่าจะรู้จริงๆ ต้องอบรมเจริญปัญญาเพราะว่าแต่ละคนไม่สามารถจะรู้ได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกกี่วันหรือว่าอีกกี่ขณะจิต ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แต่สิ่งที่ได้จากการเกิดมาเป็นบุคคลนี้ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้มีทั้งสุข และทุกข์ สนุกสนาน รื่นเริงแต่สิ่งเหล่านั้นไม่เหลือเลย ถ้าประจักษ์จริงๆ ว่าเพียงเกิดแล้วก็ดับไป จะไม่มีอะไรเหลือเลยแต่ก็จะออกจากสังสารวัฏคือพ้นจากการเกิดดับไม่ได้ จะต้องอาศัยปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูกอย่างเดียวที่กว่าจะได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะสามารถที่จะไม่ให้มีการเกิดดับซึ่งเป็นทุกข์ได้ แต่ว่าถ้ายังไม่มีปัญญาก็ต้องฟังแม้แต่บางคนก็ยังไม่อยากจะไม่เกิด เพราะเหตุว่าเป็นความจริงที่ว่าถ้ายังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น ก็ต้องมีความติดข้องในสิ่งนั้น ที่จะให้พ้นความติดข้องเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่ก็อบรมได้เจริญได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่จะให้มีความเพียร ให้มีวิริยะ ไม่ให้ท้อถอย แต่ว่าไม่ใช่เราเลย ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าเป็นธรรมที่ไม่ว่าขณะไหนก็คือเป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน ไม่ว่าจะเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยาก็คือธรรมทั้งหมด

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 225


    หมายเลข 11131
    24 ม.ค. 2567