พระธรรมวินัย ๐๕๗ - ความหมายของปรชิก
อ.วิชัย ความหมายว่า ปราชิก คือ เป็นผู้พ่ายแพ้ ภิกษุใดก็ตามต้องอาบัติปาราชิก ไม่ใช่ภิกษุอีกต่อไป เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ภิกษุคือไม่ต้องลาสิกขาแล้ว คือไม่ใช่ภิกษุอีกต่อไป แต่ต้องละเพศจาก เหมือนห่มผ้ากาสาวพัสตร์ก็ต้องเป็นคฤหัสถ์ หรือจะบวชเป็นสามเณรก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเป็นผู้พ่ายแพ้ จะไปร่วมทำสังฆกรรม จะมีสิกขาบทร่วมเดียวกันกับภิกษุทั้งหลายไม่ได้อีกต่อไป ในชาตินั้นจะบวชมาเป็นภิกษุไม่ได้อีกต่อไปเพราะอาบัติปาราชิกแล้ว มีการเสพเมถุน มีการลักทรัพย์ ตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้น ไปลักทรัพย์ที่มีเจ้าของ แล้วก็มีการฆ่ามนุษย์ แล้วก็มีการอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนให้แก่บุคคลอื่น นี้คือต้องอาบัติปาราชิก นี้เคยเป็นความรู้ความเข้าใจในเบื้องต้นที่ความหมายว่าปราชิกคืออะไร แล้วก็มีอะไรบ้างในพระปาฏิโมกข์ อุปมาเหมือนบุคคลที่ศีรษะขาดก็ได้ และอุปมาเหมือนกับใบไม้เหลืองที่ร่วงหล่นออกจากขั้ว และไม่สามารถที่จะกลับมาสดเขียวได้อีก หรือเหมือนกับแผ่นศิลาที่แตกแล้วก็ไม่สามารถที่จะประสานดังเดิมได้ หรือตาลยอดด้วน ไม่สามารถจะงอกงามได้อีก ฉันใด เพราะฉะนั้นภิกษุใดก็ตามที่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่เป็นปาราชิกสิกขาบทจนถึงอาบัติปาราชิกก็ไม่สามารถจะเป็นภิกษุต่อไป คือไม่สามารถจะมีคำวินิจฉัยอื่นๆ ใดให้ไม่ปาราชิกอีกได้ แม้ในครั้งนู้น มีภิกษุที่เรียนท่านพระอานนท์ว่า เมื่อตนเองต้องอาบัติปาราชิกแล้วอยากจะกลับมาเป็นภิกษุอีก สำนึกตัวแล้ว ให้ท่านพระอานนท์ไปทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่อนุญาต เพราะการที่พระองค์บัญญัติเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ไม่สามารถจะกลับพระดำรัสหรือว่าพระบัญญัติให้ไม่ปราชิกได้ เพราะฉะนั้นข้อบัญญัติอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ปาราชิกแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้น
อ. จักรกฤษณ์ มีข้อความอันหนึ่ง ซึ่งมีในพระไตรปิฏกอรรถกถา ท่านพูดเรื่องนี้ไว้ เป็นคำทำนายที่ท่านพูดเกี่ยวกับในอนาคต พระภิกษุที่ไม่ประพฤติดีประพฤติชอบ จะเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้ท่านยกขึ้นมาให้เราได้รับรู้รับทราบกันด้วย ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะว่าท่านก็จะพูดไว้ในเรื่องที่พระไม่ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย แล้วมีโทษอย่างไร อันนี้เป็นคำที่ พอพูดแล้วมันช่างตรงอะไรกับยุคปัจจุบันทีเดียว ท่านกล่าวไว้อันนี้เป็นพระสุตตันตปิฏก ผมได้ยกส่วนหนึ่งออกมา เป็นคำคือท่านกล่าวไว้ ทำให้สะท้อนใจมาก ท่านบอกว่า
ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทองไร่นาที่ดินแพะแกะคนใช้หญิงชาย จะเป็นคนโง่ มุ่งแต่จะยกโทษผู้อื่น ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแต่การทะเลาะวิวาท จะมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรย้อมสีเขียวแดง เป็นคนลวงโลกกระด้าง เป็นผู้อันแส่หาแต่ลาภผล เที่ยวชูเขาคือมานะ ทำตนดั่งพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่
ท่านทำนายไว้ เป็นจริงเช่นนั้น ซึ่งดูแล้วมันใกล้เคียงกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ท่านกล่าวต่อไปว่า
จะเป็นผู้มุ่งแต่ลาภ เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก จะใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีในมิจฉาชีพ จะได้ลาภเสมอๆ จะพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น เที่ยวคบหา ราชสกุลเป็นต้นเพื่อให้ลาภแก่ตน ไม่สำรวมอินทรีย์เที่ยวไป
ซึ่งอันนี้เป็นคำกล่าวที่สะท้อนให้เห็นแล้ว
อ. อรรณพ ที่พระองค์ท่านได้ตรัสไว้ว่า กาลภายหน้าจะเป็นเช่นนี้
อ. วิชัย ก็จะเห็นถึงอำนาจประโยชน์ ที่พระองค์บัญญัติสิกขาบทว่า ป้องกันความเสื่อมเสียไม่ให้เสียหายในปัจจุบัน ใช่ไหม การเกิดเรื่องราวต่างๆ เพราะว่าพระภิกษุไม่ประพฤติตามสิกขาบทนั่นเอง มีการยักยอกทรัพย์ ลักทรัพย์ รับเงิน และทองต่างๆ เหล่านี้ นี่ก็คือเป็นบทบัญญัติที่พระองค์บัญญัติไว้แล้วทั้งหมด แต่ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตาม ก็จะมีเรื่องเสื่อมเสีย เสียหายที่เกิดขึ้น ตามที่พระองค์อาศัยอำนาจประโยชน์ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น จึงบัญญัติสิกขาบท แต่ถ้ามีการล่วงละเมิดก็จะเป็นดังที่มีเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของท่านผู้ชมที่จะเกิดการได้พิจารณาไตร่ตรองว่าจริงหรือเปล่า การที่พระภิกษุบวชเข้ามาตั้งแต่แรก เป็นผู้สละอาคารบ้านเรือนทรัพย์สินทั้งหมดไม่ใช่หรือ แต่บัดนี้เป็นไง อาจมีมากกว่าคฤหัสถ์ทั่วไปอีกด้วยซ้ำไป เป็นภิกษุหรือเปล่า นั่นเป็นเรื่องของการพิจารณาว่าเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสหรือว่าพอกพูนกิเลส
อ. อรรณพ เป็นไปเพื่อการพอกพูนกิเลส และทำลายพระธรรมวินัย
กรณีธัมมชโยปาราชิกในข้อลักทรัพย์แน่นอน มีข้อมูล ยอมรับด้วย แล้วก็ชัดเจน ทีนี้ยังปาราชิกในข้อไหนอีกไหมอาจารย์วิชัย
อ. วิชัย เพราะว่ามีสิกขาบทปราชิกข้อที่ ๔ ก็คือการอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนเอง คุณวิเศษในที่นี้หมายถึงว่า ได้ฌาน มีอภิญญา การรู้ มีความวิเศษที่จะรู้คนนั้นได้เกิดที่ไหน ซึ่งความรู้อย่างนี้มีจริง แต่ถ้าไม่มีจริงๆ แล้วกล่าวว่ารู้ ตนเองอวดให้ว่าตัวเองมีความรู้อยู่ รวมถึงมรรคและผลด้วย ได้บรรลุต่างๆ เป็นการอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ในกรณีนี้เห็นไหมที่เราจะได้ทราบตามสื่อต่างๆ ที่ธัมมชโยกล่าวถึงการทำนายว่า บุคคลนั้นบุคคลนี้เกิดที่นั่นไปเกิดที่นี่ เป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม
อ. อรรณพ เพราะว่ามนุษย์ธรรมดาซึ่งไม่ได้มีคุณวิเศษเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ อันนี้ไม่ได้มีคุณวิเศษเช่นนั้น แต่แสดงว่ารู้จุติปฏิสนธิของคนอื่น
อ. วิชัย แล้วก็กล่าวแล้วมีคนที่รู้ แล้วก็เข้าใจเนื้อความด้วยว่าเห็นอย่างนั้น
อ. อรรณพ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็คือ อวดคุณวิเศษที่เหนือมนุษย์อุตริมนุสสธรรมก็คือ ธรรมหรือว่าคุณวิเศษที่เหนือกว่ามนุษย์เขา แล้วก็มีผู้รู้ความฟัง แล้วก็เข้าใจความ
อ. วิชัย จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ต้องอาบัติปาราชิก เพราะเขาได้อวดแล้ว แล้วก็มีคนฟัง เขาไม่ได้พูดให้ต้นกล้วยฟัง ใช่ไหม แต่เขาพูดให้คนฟัง แล้วเมื่อคนฟังแล้วรู้ความ เป็นอันครบองค์ของปาราชิกในข้ออวดอุตริมนุสสธรรม
อ. วิชัย เพราะว่าจุดมุ่งหมายของการบัญญัติสิกขาบทนี้ ก็มีเรื่องราวต่างๆ เพราะว่าในสมัยนั้น มีภิกษุที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทานี้ ในสมัยนั้นก็เกิด ทุพภิกขภัย ภิกษุทั้งหลายก็ปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดีเพราะว่าอาหารบิณฑบาตก็หาได้ยาก ได้ข้อสรุปว่าให้อวดคุณวิเศษ ก็เลยอวดคุณวิเศษ ชาวบ้านก็เกิดความเลื่อมใส ภายหลัง มีภิกษุที่ไปแล้วก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทราบเรื่อง ก็เลยตำหนิว่า การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เป็นมิจฉาชีพ และเป็นยอดมหาโจร นี่คือพระดำรัสเองว่า การกระทำที่อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนเอง เพื่อที่จะให้คนอื่นเกิดความเลื่อมใสศรัทธา แล้วก็นำปัจจัยต่างๆ มาถวาย เป็นยอดของมหาโจร เพราะมหาโจมีถึง ๕ จำพวกด้วยกัน อันนี้คือในสิกขาบทนี้แหละที่ทรงแสดงเรื่องของยอดมหาโจรคือ ในสิกขาบทนี้
อ. อรรณพ ปล้นได้แม้กระทั่งคุณวิเศษที่ตัวเองไม่มี
อ. วิชัย ถือเอาคุณวิเศษที่ยวดยิ่งกว่ามนุสสธรรมมาเป็นของตนเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงมหาโจรไว้อย่างไร ที่กล่าวนี้เพื่อเตือนจริงๆ ว่า ควรที่เว้นจากความประพฤติอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควร เป็นการหลอกลวงคนอื่น อย่างเช่นการที่รวบรวมภิกษุเป็นหมู่ๆ เที่ยวจาริกไป แล้วก็ไปแสวงหาปัจจัย เหมือนโจร เวลาจะไปปล้นเขาก็มีรวบรวมไพร่พลแล้วก็ไปปล้นเขา แต่อันนี้คือมีภิกษุที่รวบรวมเป็นหมู่ แล้วก็หลอกคน แล้วเที่ยวแสวงหาปัจจัย แต่ตนเองไม่มีศีลเลย เป็นภิกษุทุศีล แต่บวชเข้ามาเพื่อประสงค์จะรวบรวมภิกษุ เพื่อแสวงหาปัจจัย นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของการบวช
ประการที่ ๒ ภิกษุที่ศึกษาพระธรรมคำสอนแล้ว กล่าวว่านั่นเป็นคำสอนของตนเอง อันนี้คือเป็นการขโมยปริยัติธรรม สามารถที่จะศึกษาแล้วก็คิดว่านี่เป็นคำพูดของตัวเอง
ประการที่ ๓ ก็คือการกล่าวโจทย์ภิกษุอื่นที่ทรงคุณ ต้องอาบัติหนักคือปาราชิกหามูลไม่ได้
อ. อรรณพ แล้วถ้าเกิด กล่าวโจทย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ท่านยังไม่รู้อะไร ยังไม่รู้จักมาร ยังไม่ได้ปราบมาร ยังไม่ได้อะไรหรือว่ายังตอบคำถามอะไรไม่ได้ ต้องไปถามพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น อย่างนี้จะยิ่งกว่าอันนี้ไหม
อ. วิชัย อันนี้เห็นถึงความไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูหมิ่นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไม่รู้จักมาร
อ. อรรณพ จริงๆ ข้อนี้ ก็เป็นปาราชิกที่แม้ไม่อยู่ใน ๔ ข้อนี้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความเห็นอื่น มีลัทธิเดียรถีย์ที่เขาคิดว่าเขามีวิชาธรรมกายอะไรที่เขาทำ ใช่ไหม ขณะนั้นก็ไม่ได้เป็นพระพุทธธรรม ไม่ได้เป็นพระพุทธศาสนา ขณะนั้นก็ไม่ได้มีความศรัทธาเลื่อมใสพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว แต่เพียงแต่ว่า ประกาศตนว่าเป็นพุทธบริษัท
อ. วิชัย เอาของสงฆ์นี้ไปเที่ยวแจกจ่ายให้แก่คฤหัสถ์
ประการสุดท้าย ก็คือ การอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน อันนี้คือยอดของมหาโจรเลย เพราะว่าขโมยคุณวิเศษที่ไม่มีในตนเอง แล้วมาอวดอ้างเพื่อให้คนอื่นเกิดความเลื่อมใส
อ. อรรณพ ท่านแสดงว่า ปล้นทั้งโลกิยทรัพย์และโลกุตรทรัพย์ โจรธรรมดาเวลาเขาปล้นทรัพย์สินเงินทอง อันนี้หลอกทั้งทรัพย์สินเงินทอง แล้วก็หลอกว่ามีคุณวิเศษ เพื่อที่จะได้หลอกทรัพย์สินเงินทอง เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ไม่ใช่โจร ไม่ใช่มหาโจร แต่เป็นยอดมหาโจร อันนี้คือพระดำรัสของท่านไม่ใช่เราพูดเอง
อ. วิชัย ที่กล่าวอย่างนี้เพื่อให้เกิดความสำนึก สามารถที่จะประพฤติตัวให้ถูกต้องได้ ถ้ารู้เข้าใจว่าธรรมวินัยแสดงไว้อย่างไร มีสิกขาบทอย่างไร แล้วรู้จักตนเองสำนึกตน ก็สามารถที่จะให้ประพฤติถูกต้องได้แก้ไขได้
อ. อรรณพ อีกประเด็นที่คนก็ยังตะขิดตะขวงใจก็ไม่กล้าก็ยังเรียกว่า วัดพระธรรมกายบ้าง อย่างการประพฤติเช่นนี้ของกลุ่มคนที่เป็นธรรมกายนำโดยธัมมชโย สถานที่ตรงนั้นเป็นวัดในพุทธศาสนา
อ. วิชัย ถ้าเรากล่าวถึง ในสมัยครั้งพุทธกาล ก็จะมีอาราม เป็นที่รื่นรมย์ในการประพฤติคุณความดีของภิกษุทั้งหลาย เป็นที่อาศัยของภิกษุที่มีศีลทั้งหลาย เพราะเขามีจิตศรัทธาสร้างอาราม ครั้งโน้นเราก็จะทราบถึง วัดเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เพราะว่าท่านเป็นผู้มีจิตศรัทธาถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ให้ได้อาศัย แล้วก็ประพฤติคุณความดี สถานที่นั้นเป็นที่ที่มีการที่จะได้รับฟังพระธรรม มีการที่จะประพฤติในสิ่งที่ดีงามโดยประการต่างๆ
อ. อรรณพ แต่ถ้าที่นั้นไม่ได้สอนหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่นั้นก็ไม่ใช่เป็นอาราม และไม่ใช่วัด แต่เป็นที่อยู่ของกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างไป แต่อ้างว่าเป็นพุทธศาสนา
อ. วิชัย เพราะว่า อาราม หมายถึงว่า ต้องมีคำสอนที่จะให้เกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ถ้าเป็นคำสอนที่ผิดไม่ตรงตามธรรมวินัยก็ไม่ใช่อารามในพระพุทธศาสนา
อ. อรรณพ ฉะนั้นก็พูดได้ตามความเป็นจริงในพระธรรมวินัยว่า ธรรมกายไม่ใช่พุทธ ไม่เช่นนั้นเราจะเข้าใจผิด เพราะว่าความเป็นพุทธก็คือ ความรู้ความเข้าใจตามพระธรรมวินัย ในเมื่อไม่ได้แสดงธรรมตามพระธรรมวินัย ให้คนติดข้อง ก็ไม่ใช่พุทธ
ทีนี้มาถึงประเด็นที่สำคัญที่สุด ในฐานะชาวพุทธ อย่างพวกเราที่เป็นอุบาสกอุบาสิกากันทั้งหมดเลย จะมีแนวทางแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ทั้งในมุมมองของท่านนักกฎหมาย แล้วก็ในมุมมองของชาวพุทธคนหนึ่ง
อ. จริยา คือกฏหมายไม่ใช่ยาสารพัดโรคที่จะแก้อะไรได้ กฎหมายก็วางขอบเขตเอาไว้ เพื่อให้ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่อยู่ภายใต้กฎหมายประพฤติปฏิบัติแล้วก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ถ้าเรามองกรอบของกฎหมายคณะสงฆ์ ก็ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามกฎหมายคณะสงฆ์ ผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งหลาย ก็จะไม่เป็นอย่างนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของพระวินัยว่า ถ้าพระภิกษุที่เราเรียกว่าภิกษุตามพระธรรมวินัยปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็จะไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเลย สิ่งเหล่านี้ดิฉันว่าที่เกิดขึ้น ผู้ที่มีส่วนที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ ก็คือพวกเราทั้งหลายนี่แหละที่ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ก็ส่งเสริมให้ พระทั้งหลายกระทำผิด เพราะเหตุที่ว่าถ้าเราเข้าใจเพื่อธรรมวินัยแล้ว เราคงจะไม่ไปส่งเสริมผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เป็นต้นว่า เราก็รู้ว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องละ แต่มีคนสอนเรื่องโลภอยากได้ ถ้าเราเข้าใจพระธรรมวินัยตรงนี้ เราก็ไม่สนับสนุน ถูกไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดว่าจำเป็นอย่างยิ่งก็คือ ให้ความรู้กับทุกๆ คนที่เราพบเรารู้จัก เรื่องเกี่ยวกับพระธรรมวินัยด้วยการศึกษา แต่เขาพอได้ยินคำว่า ศึกษา ทุกคนก็จะรู้สึกว่ายากเย็น แต่ถ้า เข้าใจแล้วก็ตระหนักดีถึงหน้าที่ของเราที่บอกว่า ตัวเองเป็นชาวพุทธว่า เรามีหน้าที่ต้องศึกษาพระธรรมวินัยก็ศึกษา ซึ่งถ้าศึกษาตั้งใจก็คงไม่ยาก เพราะทุกคนกว่าจะอ่าน ก ไก่ ข ไข่ ออกได้ ก็มันก็ใช้เวลานาน
อีกประการหนึ่งก็คือ นอกจากที่เราจะให้ความรู้กับคนทั่วไปแล้ว ในกรณีของผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยแล้ว ได้รู้แล้ว เราก็ควรจะต้องหาทางที่จะป้องกันไฟที่กำลังลุกลามอยู่เพื่อที่จะให้ค่อยๆ สงบลง อาจจะไม่ได้ในช่วงชีวิตของเรา แต่อย่างน้อยที่สุดบรรพบุรุษเราได้ทำมา เราได้เห็นจากที่ท่านอาจารจักรกฤษณ์ได้พูดถึงเรื่องตั้งแต่สมัยพุทธกาล หรือว่าท่านอาจารย์วิชัยกล่าวถึงเรื่องพุทธกาลก่อนๆ ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์กล่าวถึงในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่พระเจ้าตากสินมาจนถึงรัชกาลที่ ๑ เราก็จะเห็นว่า บรรพบุรุษของเราก็ได้พยายามรักษาพระศาสนา ถ้าพวกเราทุกคนตั้งใจที่จะรักษาพระศาสนาตามสิ่งที่เราเริ่มเข้าใจ ดิฉันคิดว่าก็เป็นหนทาง แต่อย่างไรก็ตามการที่เราจะรักษาพระศาสนาได้อย่างดี ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกๆ คน เป็นต้นว่าเมื่อสมัยพุทธกาลหรือสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ก็ได้ความร่วมมือจากพระมหากษัตริย์ เพราะเหตุใดพระมหากษัตริย์จึงลงมา เพราะเหตุที่ว่าสมัยนั้นเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่าง กฎหมายจะออกมาก็ด้วยพระมหากษัตริย์ แต่บัดนี้กฏหมายเราอยู่ในสมัยประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แต่มีรัฐบาลทำหน้าที่ต่างพระเนตรพระกรรณ เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลได้มีความสนใจใส่ใจที่จะแก้ปัญหา ในกรณีเรื่องพระทั้งหลายกระทำผิดพระวินัย เราไม่ได้พูดเฉพาะกรณีธรรมกาย เราพูดถึงทุกๆ กรณีว่า เมื่อไหร่ที่พระกระทำผิดวินัย ก็เป็นเหตุที่จะให้พระศาสนาเสื่อมโทรม เมื่อพระศาสนาเสื่อมโทรมซึ่งในสมัยนี้เราจะเห็นว่า ลุกลามไปถึงเรื่องเศรษฐกิจ เศรษฐกิจของประเทศชาติก็จะย่อยยับลงไปได้ แล้วในกรณีของ วัดพระธรรมกาย ที่ใช้คำว่าวัดก็อาจจะเป็นที่ที่ ถ้าเราดูเข้าไปในเว็บไซต์แล้ว ซึ่งเป็นการลงในเว็บไซต์โดยสำนักธรรมกายเอง ก็จะเห็นว่าน่ากลัวมากที่จะมีการซ่องสุม ผู้คนที่จะเกิดมหันตภัยแก่ประเทศชาติ อันนี้เป็นเหตุให้สำหรับฉันคิดว่าเราต้องศึกษาพิจารณาด้วยความรอบคอบ และด้วยกิจที่กรุณาต่อผู้ที่กำลังหลงผิด เพื่อให้เข้าใจถึงหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ของพระศาสนา เพื่อที่จะไม่หลงผิดกระทำไปตามการชักชวน
อ. อรรณพ ผมมองเป็น ๓ ส่วน คือ ส่วนหนึ่งก็คือ ผู้คนที่เข้าไปร่วมกับธรรมกายที่เขายังไม่มีโอกาสเข้าใจ ถ้าเขาเข้าใจอะไรถูกอะไรผิด ก็จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาที่จะช่วยรักษาพระธรรมวินัย และความสงบของชาติบ้านเมือง นี้เป็นส่วนหนึ่ง แล้วก็ไปประชาชนทั่วไป ส่วนหนึ่ง แล้วก็ผู้บริหารประเทศ ซึ่งถ้าท่านได้ทราบ ได้เข้าใจพระธรรมวินัย แล้วก็เห็นเฉกเช่นเดียวกับบรรพบุรุษที่ที่เราได้กล่าวถึง ก็จะสามารถที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง ใน ๓ ส่วน
อ. จักรกฤษณ์ ก่อนที่เราจะไปกล่าวถึงการแก้ปัญหา เราต้องพูดถึงว่า ตอนนี้ชาติเสียหายแค่ไหน อย่างที่อาจารย์จริยาได้กล่าว พบทุกด้านเลย ซึ่งความเสียหายสำหรับชาติบ้านเมืองและพระศาสนา เป็นเรื่องใหญ่ อย่างที่เราเห็นกฎหมายตรา ๓ ดวง กฎพระสงฆ์ที่ท่านบรรยายถึงความเสียหายจากการกระทำละเมิดพระวินัยอย่างไร อันนั้นเป็นประวัติศาสตร์ที่ทำให้เราได้เห็นภาพส่วนหนึ่ง แต่ปัจจุบันความเสียหายของประเทศชาติ ของพระศาสนา เราอาจจะไม่รู้ บางท่านอาจจะว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะเราก็ยังใช้ชีวิตดำรงชีวิตกันอยู่ตามปกติ ทำมาหากิน มีความสุขไปตามอัตภาพ บางท่านก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราแต่อย่างใด ซึ่งตรงนี้น่าจะยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญที่ให้สังคมได้ตระหนักถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น คืบคลานเข้ามาอย่างไร จากการที่มีการบิดเบือนคำสอนที่ถูกต้อง อันนี้เป็นเรื่องที่เสียหายมากๆ เพราะอย่างที่ได้เรียนอ. อรรณพตั้งแต่ต้นแล้วว่า เราศึกษาพระธรรมคำสอนก็เพื่อที่จะออกจากเหว ออกจากโลกมืด แต่เมื่อไรก็ตามที่พระธรรมคำสอนท่านถูกบิดเบือน เราไม่มีทางที่จะไปไหนได้เลย ก็จะอยู่ในนี้ อันนี้ปิดโอกาสสำคัญของวิชาความรู้ เสียหายที่มากที่สุด เรายังไม่ได้ตระหนักกันในตรงนี้ สำคัญมากๆ เพราะว่า ท่านกล่าวไว้ในหลายบทว่า การที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยาก ได้พบพระพุทธศาสนาก็ยาก ได้ศึกษาและเข้าใจพระธรรมยิ่งยาก คือความยากเป็นไปตามลำดับ ดังนั้นพระธรรมคำสอนถูกบิดเบือน ถูกละเมิด พระธรรมวินัยถูกย่ำยีอย่างนี้เสียหายเกิดขึ้นมากๆ
