เยียวยาจิตหรือยัง


        ในจิตแต่ละขณะมีการสะสมที่หลากหลายมากมาย โดยเฉพาะความไม่รู้ และความติดข้อง จึงควรอบรมปัญญาเพื่อรักษาจิตให้ค่อยๆ คลายจากความไม่ดีที่สะสมมาแสนนาน


        กำลังมีจิต แล้วก็ได้ยินเรื่องของจิต จิตเป็นสภาพรู้ ขณะนี้จิตกำลังเห็น ก็คือรู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงเท่านี้ก็เป็นธรรมดามาก แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือว่า จิตเกิดขึ้น ทีละหนึ่งขณ แต่อะไรบ้างที่อยู่ในจิตหนึ่งขณะ แค่ขณะเดียวสั้นมากที่เกิด แต่สะสมอะไรมามาก ไม่คิดถึงความสำคัญว่า ขณะนี้ไม่มีเรา แต่ว่าถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป ก็ไม่มีเรา ในขณะนี้ ไม่มีใครได้สักคน เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีชีวิต ก็มีจิต มีเจตสิก และเกิดพร้อมกับรูปซึ่งเกิดเพราะกรรม แต่ถ้าจะคิดถึงจิต หรือว่าไตร่ตรองถึงจิต เรารู้จิตของคนอื่นได้ไหม ไม่มีทาง แล้วจิตของเราทุกวัน รู้หรือเปล่า ทั้งๆ ที่มีจิตทุกวันก็รู้แค่ว่าเห็นเป็นจิต ได้ยินเป็นจิต ได้กลิ่นเป็นจิต ลิ้มรสเป็นจิต รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็คือจิต ที่รู้ แล้วจิตก็คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ตามสิ่งที่ปรากฏ แต่จิตนั้นคิดอย่างไร มีความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏบ้างหรือไม่ หรือว่าเห็นเป็นคนเป็นสัตว์ และก็ยึดถือว่าคนนั้น เคยชอบ เคยรัก เคยชังอย่างไร และสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาจากไหน แม้แต่ความขุ่นใจที่ไม่ชอบคนที่เพียงเห็น มาจากไหน

        เพราะฉะนั้นความจริงแล้ว ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าเข้าใจขึ้น ก็จะทำให้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่าทรงแสดงความจริงว่า แต่ละคนก็มีแต่ละหนึ่งจิต หลากหลายมากไหม รูปร่างหน้าตาก็หลากหลาย แต่จิตยิ่งหลากหลายยิ่งกว่ารูปร่าง เพราะเหตุว่าถ้าจะคิดถึงรูปร่างของคนแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกัน ยิ่งรูปร่างของสัตว์เล็ก สัตว์น้อย สัตว์บก สัตว์น้ำ ก็ยิ่งต่างกันไป แต่ก็เป็นจิตจะกล่าวว่าไม่ใช่จิตไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละจิตไม่มีทางที่ใครจะรู้ว่า นานแสนนานมาแล้ ว่าจิตนี้ซึ่งกำลังเห็นของแต่ละคน สะสมอะไรมาบ้างในชาติก่อนๆ เพราะฉนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ก็ข้ามไป เพียงคิดว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ เป็นอย่างนี้ แต่จิตที่กำลังรู้เรื่องนั้นเป็นอะไร มากน้อยด้วยการสะสมประเภทไหน แต่ที่สะสมมากๆ ก็คือความไม่รู้ ความไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ สะสมความติดข้อง การยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ได้ยินได้ฟังว่าไม่มีใครเลยนอกจากสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ในขณะนี้ แต่ละหนึ่ง ซึ่งกำลังเห็นบ้าง กำลังได้ยินบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะ ละความไม่รู้ ก็ทำให้เกิดอกุศลสิ่งที่ไม่ดีมากมายที่สั่งสมมา

        เราเรียนเรื่องต่างๆ ในพระไตรปิฏก พระสูตรเรื่องของการแสวงหา ถ้าไม่มีจิตก็ไม่มีการแสวงหา แต่ถ้าจิตไม่ไม่ประกอบด้วยความติดข้องก็ไม่แสวงหา แต่เพราะเหตุว่ามีความติดข้องมากจนกระทั่งประมาณไม่ได้ ทำให้ไม่รู้ความจริงว่า แม้แต่ขณะที่กำลังติดข้อง จิตที่ติดข้องนั้นก็ไม่ใช่เรา

        เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะก็เป็นเรื่องละเอียดที่จะต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังลึกซึ้งขึ้น เพราะว่าถ้าไม่มีการไตร่ตรองให้เข้าใจคำที่ได้ยินก็ผ่านไป แต่ถ้ามีการไตร่ตรองจะรักษาจิต หรือไม่ เพราะรู้ว่าจิตของแต่ละคนเต็มไปด้วยอกุศล สมจริงดังที่ว่าปุถุชนคือผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลส หนาแน่นด้วยความไม่รู้ แม้แต่ฟังเพื่อที่จะเข้าใจ เพื่อที่จะละความไม่รู้ เพื่อความรู้นั้นจะค่อยๆ ละคลายกิเลส เป็นอย่างนี้หรือไม่ หรือว่าฟังเพราะเห็นว่าต้องการที่จะรู้จักชื่อ รู้จักเรื่อง รู้จักคำมากๆ นั่นเรียนอะไร และจิตขณะนั้นได้รับการเยียวยารักษา หรือว่าทำให้คลายความไม่รู้บ้างหรือไม่

        เพราะฉะนั้นจิตเป็นสิ่งที่มีแน่นอน แล้วก็ลึกซึ้ง ประกอบด้วยการสะสมมากมายทั้งฝ่ายกุศล อกุศล ในแต่ละวัน ในแต่ละชาติแสนนานมาแล้ว เพราะฉะนั้นจิตนี้เป็นอย่างไร ถ้าขณะนี้ไม่มีจิตประเภทหนึ่งประเภทใดเกิดขึ้นให้รู้ก็ไม่สามารถที่จะรู้การสะสมที่ได้สะสมมาแล้ว บางคนเห็นอะไรก็กลัว กลัวหมดเลย ถ้าไม่สะสมมาจะกลัวอย่างนั้นไหม แต่บางคนก็ไม่ได้สะสมความกลัวมากมายถึงอย่างนั้น แต่ความกลัวหรือความขุ่นใจ ความไม่พอใจก็ยังเกิดขึ้นได้ กลัวเสียงเบาๆ เสียงแหบๆ เบาๆ ตอนเด็ก กลัวไหม แล้วอย่างไรถ้าไม่มีการสะสมกิเลสประเภทนั้นมา สภาพของจิตขณะนั้นจะเกิดขึ้นได้ไหม ก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้เลย

        เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็เพื่อให้รู้จักจิตของตนเอง เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะรู้จักจิตของคนอื่นได้เลย และจิตก็ละเอียดมาก มายากล เพราะเหตุว่าเกิดดับสืบต่อโดยเป็นธรรมดาของจิตที่จิตเกิดแล้วจะไม่รู้ไม่ได้ เกิดแล้วจะไม่ดับไปก็ไม่ได้ แล้วสิ่งที่จิตรู้ในหนึ่งขณะก็เป็นแต่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นจะเป็นสิ่งอื่นพร้อมๆ กันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็อยู่ในโลกของความลวงเพราะการเกิดดับของจิต เร็วมาก และเดี๋ยวนี้ที่กำลังฟังก็เป็นอย่างนี้ ฟังเรื่องจิต ฟังเรื่อเจตสิก ทั้งๆ ที่จิตเจตสิกก็กำลังฟัง ไม่ใช่เราเลย จนกว่าเมื่อไหร่ที่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าพระธรรมทั้งหมดทุกคำเป็นวาจาสัจจะ เพื่อประโยชน์ที่จะให้เกิดความเห็นถูก มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่มีใครที่จะรู้จักจิตของแต่ละคนตนเองว่าเป็นอย่างไร แล้วก็ควรจะขัดเกลาอย่างไรด้วย


    หมายเลข 10522
    29 ก.พ. 2567