พุทธวิปัสสนา ๒


    ข้อความต่อไปใน อภิสมยสังยุต พุทธวรรค

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้น แก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้

    ข้อ ๒๗

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับชราและมรณะจึงดับ

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับชราและมรณะจึงดับ ...

    เมื่ออะไรหนอไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับชาติจึงดับ

    เมื่อภพไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะภพดับชาติจึงดับ ...

    เมื่ออะไรหนอไม่มี ภพจึงไม่มี เพราะอะไรดับภพจึงดับ

    เมื่ออุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ ...

    เมื่ออะไรหนอไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะอะไรดับอุปาทานจึงดับ

    เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ ...

    เมื่ออะไรหนอไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะอะไรดับตัณหาจึงดับ

    เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ ...

    เมื่ออะไรหนอไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับเวทนาจึงดับ

    เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ ...

    ข้อความต่อไปโดยนัยเดียวกัน

    ... เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ...

    ... เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ...

    ... เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ...

    ... เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ...

    ... เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ …

    ... เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ...

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้น แก่เราในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้

    จบ มหาศักยมุนีโคตมสูตรที่ ๑๐

    จบ พุทธวรรคที่ ๑

    ซึ่งข้อความใน สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ปฏิปทาสูตร ข้อ ๒๑ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า เป็นสัมมาปฏิปทา การดับอกุศลทั้งหมด การดับอวิชชาเท่านั้น ที่เป็นสัมมาปฏิปทา นอกจากนั้นเป็นมิจฉาปฏิปทาทั้งนั้น

    นี่เป็นธรรมส่วนละเอียดจริงๆ ที่จะรู้ว่า ทุกวันที่มีชีวิตอยู่ ปฏิปทา คือ ทางดำเนินของชีวิตของแต่ละคนเป็นมิจฉาหรือเป็นสัมมาขณะใด

    ขณะที่เห็นแล้วก็ชอบ และมีความยึดมั่น มีการกระทำกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุให้มีการเกิดอีก มีการแก่อีก มีการตายอีก ทั้งหมดเป็นมิจฉาปฏิปทา แต่ขณะใดซึ่งเป็นทางดับ ทางที่จะดับทั้งหมดเป็นสัมมาปฏิปทา

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ทุกท่านก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่า ขณะใดเป็นสัมมาปฏิปทา ขณะใดเป็นมิจฉาปฏิปทา และในวันหนึ่งๆ สัมมาปฏิปทามากหรือน้อย ถ้า มิจฉาปฏิปทายังมากกว่า การที่จะดับสังสารวัฏฏ์ก็ต้องนานกว่า ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะ ของแต่ละบุคคลที่จะรู้ได้ด้วยปัญญาของตนเองจริงๆ

    ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยก็จะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล และดับ ปัจจยาการทั้งหมดเหล่านี้ได้ แม้แต่เพียงความคิดชั่วขณะก็ยังต้องรู้ว่า ในขณะนั้น เป็นมิจฉาปฏิปทา หรือสัมมาปฏิปทา

    ถ. ปฏิจจสมุปปาทฝ่ายนิโรธ คือ ฝ่ายดับ เป็นสัมมาปฏิปทา ยังไม่ถึงขั้นเป็นมรรค ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องถึง จึงจะดับได้ ไม่อย่างนั้นจะดับได้อย่างไร

    ถ. รวมตลอดเป็นวิปัสสนาญาณจนถึงมรรคเลย

    ท่านอาจารย์ จนดับได้ ไม่ใช่นิดๆ หน่อยๆ แต่จนถึงดับได้ ดับนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เวลานี้ทุกอย่างก็เกิดแล้วเพราะปัจจัย แต่เมื่อไม่รู้ปัจจัยเพราะมีอวิชชา จึงไม่สามารถเห็นปัจจัยเหล่านั้นได้ตามความเป็นจริง ก็ดับไม่ได้

    ถ. สัมมาปฏิปทา ในทีนี้ก็เหมือนกับอริยมรรคองค์ ๘ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ และหนทางปฏิบัติที่เริ่มปฏิบัติด้วย ในขณะที่คิดและสติระลึก และก็รู้ ในสภาพที่คิดว่า เป็นนามธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้นต้องเป็นฝ่ายดับ เพราะจะทำให้สามารถดับอวิชชาได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะดับอวิชชาได้เลยถ้าขณะนี้สติไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ. ทำไมในโลก ในชาตินี้ เกิดมาบางคนก็ยากจนข้นแค้น บางคนก็เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี ด้วยกรรมลิขิตหรือพรหมลิขิต หรือชาติปางก่อนสร้างไว้ ขอกราบเรียนถามเพื่อพุทธศาสนิกชนจะได้ทราบด้วย จะเป็นประโยชน์มาก

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ทุกคนเห็นเหมือนกัน มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา คิดเหมือนกันหรือเปล่า แม้แต่เพียงความคิด คิดเหมือนกันหรือเปล่า ได้ยินเสียง ได้ยินคำต่างๆ ขณะนี้กำลังฟังพระธรรม และได้ยินเสียงเดียวกัน คิดเหมือนกันหรือเปล่า เข้าใจเรื่องเดียวกันหรือเปล่า มากน้อยเท่ากันหรือเปล่า

    นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความต่างกันของจิตและการสะสมมา ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้ ทุกชีวิตแตกต่างกันไปโดยกรรมและการคิดนึกซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกรรมนั้นๆ เมื่อความคิดต่างกัน กรรมก็ต้องต่างกัน เพราะฉะนั้น ผลของกรรมก็ต้องต่างกันด้วย

    ถ. คนเราที่มีชีวิตอยู่ก็เกิดจากกรรม ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ใช่

    ถ. เหตุการณ์ข้างหน้าก็เกิดจากกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ในกาลข้างหน้า ก็ต้องมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นผลของกรรม

    ถ. ถ้าหมดกรรม ก็แสดงว่าไม่มีการเกิด คนตายไปก็วัดกันที่ผลของกรรม แสดงว่าหมดกรรมแล้ว

    ท่านอาจารย์ กรรมอื่นยังมีที่จะทำให้เกิด

    ถ. เรื่องปฏิจจสมุปปาท ผมสงสัยมานานแล้วว่า อวิชชาที่เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ถ้าเป็นอปุญญาภิสังขารไม่สงสัย เพราะว่าอวิชชาเป็นธรรมฝ่ายไม่ดี แต่ว่า เป็นปัจจัยให้เกิดปุญญาภิสังขารได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ แม้จะเป็นปุญญาภิสังขาร คือ กุศลขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นสมถภาวนา ที่จะทำให้เกิดเป็นรูปพรหม อรูปพรหม ก็ยังเป็นสังสารวัฏฏ์ ยังไม่ออกจากทุกข์ ด้วยเหตุนี้ข้อความใน สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ปฏิปทาสูตร พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ตราบใดที่อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ตราบนั้นก็เป็นปัจจัย ตลอดเรื่อยไปที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์หมุนเวียนไป เป็นมิจฉาปฏิปทาทั้งหมด

    ปฏิจจสมุปบาททั้งหมดเป็นมิจฉาปฏิปทา ซึ่งท่านที่สนใจในการปฏิบัติธรรม ควรที่จะพิจารณาศึกษาให้ละเอียด ให้เข้าใจจริงๆ ว่า อะไรเป็นการปฏิบัติถูก เป็นสัมมาปฏิบัติ และอะไรเป็นการปฏิบัติผิดซึ่งเป็นมิจฉาปฏิบัติ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2053


    หมายเลข 1043
    7 พ.ย. 2566