พุทธวิปัสสนา ๑


    ขอกล่าวถึงพุทธวิปัสสนา ซึ่งท่านผู้ฟังก็คงจะใคร่ที่จะทราบว่า เมื่อพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงพิจารณาธรรมอย่างไร

    ข้อความใน สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย นิทานวรรค อภิสมยสังยุต พุทธวรรค มีว่า

    พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ออกจากจตุตถฌาน อันมีลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ มีญาณหยั่งลงในปัจจยาการ (คือ ปัจจัย) พิจารณาปัจจยาการนั้นโดยอนุโลมและปฏิโลม ย่อมเป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวให้ชื่อว่า พุทธวิปัสสนา

    คือ รู้ปัจจยาการในชีวิตประจำวันในขณะนั้น ไม่ใช่ในขณะอื่นเลย ในขณะที่ประทับนั่งที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์หลังจากที่ออกจากจตุตถฌานแล้ว

    มหาศักยมุนีโคตมสูตร

    ว่าด้วยพระปริวิตกของพระบรมโพธิสัตว์

    ข้อ ๒๖

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

    โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อ เป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรมอันออกจากทุกข์คือชราและมรณะนี้

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี

    วันนี้มีใครคิดอย่างนี้บ้างไหม คนเกิดก็มี แก่ก็มี เจ็บก็มี ตายก็มี ที่จะคิดว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรมอันออกจากทุกข์คือชราและมรณะนี้

    คิดที่จะออกหรือยัง ในเมื่อรู้แน่ๆ ว่า นี่คือทุกข์ ชราและมรณะนี่ต้องเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วไม่ชรา ไม่ตาย ไม่มี และเมื่อไรจะมีธรรมที่สามารถออกจากชราและ มรณะได้

    เกิดมาแล้วกี่ชาติ จะมีสักชาติหนึ่งไหมที่จะคิดอย่างนี้ แต่นี่เป็นพระปริวิตก ของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ซึ่งพระองค์จะพิจารณาหาปัจจยาการ คือ ปัจจัยของสภาพธรรมทุกอย่าง เพราะการที่จะดับสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องรู้เหตุของสิ่งนั้นและดับเหตุ ผลจึงจะดับได้ แต่ถ้าไปเพียรสักเท่าไรที่จะดับผลโดยที่ไม่รู้เหตุ ก็ไม่สามารถดับทุกข์ได้จริงๆ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2052

    นาที 03:41

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี

    ดูเป็นธรรมดาจริงๆ ใครบ้างจะไม่รู้ว่า ที่ตายเพราะเกิดขึ้นมาจึงตาย ถ้าไม่เกิด ก็ไม่ตายเท่านั้น แต่ต้องเป็นพระปริวิตกของพระโพธิสัตว์ ซึ่งฟังดูเหมือนไม่ต้องอาศัยปัญญาอะไรมากมายที่จะพิจารณาอย่างนี้ แต่ความจริงความคิดของคนและปัญญา ของคนต่างระดับขั้นกันมาก ในขณะที่คิดเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตาม ขณะนั้นถ้าไม่ใช่เป็น ผู้ที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ จะไม่รู้ว่า ความคิดแม้ขณะนั้นก็เกิดเพราะอวิชชา ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่รู้แม้แต่ว่าความคิดนั้นเกิดเพราะความไม่รู้ มีใครบ้างรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ทุกคนคิด ตั้งแต่เช้ามาคิดตลอด เพราะฉะนั้น ความคิดของทุกคนตั้งแต่เช้ามา คิดเพราะอะไรเป็นปัจจัย เพราะวิชชาหรือเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

    แม้แต่ความคิดก็ยังไม่รู้ ตื่นมาคิดตลอดเป็นวันๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่า เมื่อไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ความคิดทั้งหมดต้องเนื่องมาจากความไม่รู้ มีอวิชชาเป็นปัจจัยจึงคิดเรื่องราวต่างๆ ไม่ได้ระลึกลักษณะปรมัตถธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ซึ่งเกิดแล้วปรากฏและดับไป ในขณะนั้นไม่คิด ขณะที่มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ สติระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรมนั้น รู้ในสภาพที่เป็นปรมัตถ์ คือ ลักษณะที่แข็งเป็นธรรมอย่างหนึ่ง สภาพที่กำลังรู้แข็งเป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ เป็นธาตุอย่างหนึ่ง ในขณะนั้นไม่ได้คิดเรื่องราวเลย แต่ทุกคนที่คิดทุกวัน เพราะฉะนั้น ก็จะได้ทราบว่า ในขณะนั้นที่คิดเพราะไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ... เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี

    คือ ไม่หยุดอยู่เพียงแค่รู้ว่า เมื่อเกิดจึงต้องตาย หรือที่ตายกันอยู่ทุกวันนี่ ก็เพราะเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องตาย ถ้าคิดเท่านั้นก็ไม่มีปัญญาที่จะดับเหตุของความทุกข์ได้ แต่พระโพธิสัตว์ปริวิตกว่า

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    ทำไมต้องเกิด มีอะไรเป็นปัจจัยจึงต้องเกิด

    เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี

    ภพ คือ กรรมภพ

    ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย ...

    ถ้ากรรมไม่มี การเกิดก็ไม่มี

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ...

    ที่มีกรรม มีการกระทำเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง จะเห็นได้ว่า เพราะยังมีความยึดมั่นอยู่ จึงมีการกระทำกรรมต่างๆ

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    หาสาเหตุอีกว่า ทำไมจึงมีความยึดมั่นที่เป็นเหตุให้เกิดการกระทำต่างๆ

    เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ...

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    เคยคิดไหม โลภะมีมากทุกวันๆ โลภะในขณะนี้มีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ท่านที่คล่องปฏิจจสมุปบาทตอบได้แน่ว่า ที่ตัณหามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย แต่ท่านที่ยัง ไม่คล่องก็คงจะต้องนึก ซึ่งก็เป็นโอกาสที่จะพิจารณาความจริงว่า เพราะอะไรมี ตัณหาความติดข้อง ความเพลิดเพลิน ความต้องการจึงมี

    เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ...

    มีความรู้สึกที่เป็นสุข จึงได้มีความพอใจขวนขวายต้องการ หรือแม้ความรู้สึก ที่เป็นทุกข์ ถ้าไม่มีปัญญาเกิดขึ้นย่อมมีความอยากที่จะพ้นทุกข์ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ...

    บางคนก็ไปท่องเลย เพราะอยากจะให้คล่อง ซึ่งความจริงไม่ใช่เรื่องท่อง แต่จะต้องพิจารณาจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้นในขณะที่กำลังประสบกับไม่ว่าจะเป็นเวทนาอะไรก็ตาม หรือขณะที่มีความยินดีพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ย่อมมีการระลึกได้ ในขณะนั้น ไม่ใช่ไปท่องยาวเป็นปฏิจจสมุปบาทในขณะที่ความรู้สึกพอใจติดข้องเกิดขึ้น แต่สามารถพิจารณาระลึกได้จริงๆ ว่า ขณะนี้ที่กำลังพอใจเพราะอะไร

    เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ...

    ในขณะนั้นพอใจอะไร พอใจสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก็รู้ได้ว่าเพราะเห็น ถ้าไม่เห็น ความรู้สึกพอใจจะมีได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความรู้สึกพอใจติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตาเพราะเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะมีจักขุสัมผัสสะทำให้จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น จึงเป็นปัจจัยให้มีความรู้สึกเป็นสุข ยินดีพอใจติดข้องเกิดขึ้น

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ...

    เพราะตา เพราะหู เพราะจมูก เพราะลิ้น เพราะกาย เพราะใจ เพราะฉะนั้น ก็กลับมาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นแหล่งเกิดของสภาพธรรมทุกวันๆ ไม่ว่าจะเป็นขณะใดทั้งสิ้น จะไม่พ้นไปจากเหตุปัจจัยทั้งหมด

    ข้อความต่อไปมีว่า

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีย่อมเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ...

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ...

    เท้าความไปถึงปฏิสนธิ คือ เพราะเกิดมาจึงต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเมื่อมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต้องกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เมื่อกระทบแล้วก็มีความรู้สึก เมื่อมีความรู้สึกแล้วก็ทำให้เกิดความติดข้อง เมื่อมีความติดข้องก็มีความยึดมั่น เมื่อมีความยึดมั่นก็เป็นเหตุให้กระทำกรรมต่างๆ เมื่อมีกรรม ก็ต้องมีการเกิด เมื่อเกิดแล้วก็ต้องชราและสิ้นชีวิตลง

    ข้อความต่อไปมีว่า

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย ...

    เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย

    เมื่ออวิชชามีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ...

    ในขณะนี้ยังมีอวิชชาอยู่ เพราะฉะนั้น ยังมีปัจจัยของสังขาร ยังมีปัจจัยของวิญญาณ ยังมีปัจจัยของการเกิด ยังมีปัจจัยของการตาย ที่จะต้องวนเวียนไป นานมาแล้วแสนโกฏิกัป ชาตินี้เป็นส่วนหนึ่ง และต่อไปอีกนานเป็นแสนโกฏิกัป ตราบใดที่ยังไม่พ้นจากทุกข์ คือ ไม่สามารถออกจากสังสารวัฏฏ์ได้

    สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ปฏิปทาสูตร ข้อ ๑๙ และ ข้อ ๒๐ พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ตั้งแต่อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร และตลอดไปทั้งหมดซึ่งเป็นสังสารวัฏฏ์นั้น เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าไม่ใช่หนทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความละเอียดจริงๆ ของหนทางผิดซึ่งทุกคนกำลังเดินอยู่ คือ หนทางที่ทำให้เกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ตาย นั่นคือหนทางผิด เป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะว่าไม่ใช่หนทางที่จะทำให้สิ้นสุดการเกิดและการตาย

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2053


    หมายเลข 1042
    7 พ.ย. 2566