เครื่องเตือนจากความตายด้วยพระธรรม


        สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นเขา ในที่สุดก็ต้องถึงกาลที่จะต้องแตกสลาย แล้วก็กลายสภาพเป็นกองกระดูกหรือเถ้าถ่าน ซึ่งเป็นความจริงที่ทุกคนประสบอยู่ แต่สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะได้สติจากการตายซึ่งท่านได้รับทราบเวลาที่เมื่อมีการสิ้นชีวิตของบุคคลหนึ่งบุคคลใด ควรพิจารณาจิตในขณะนั้นว่า ในขณะที่กำลังได้ทราบข่าว ได้ทราบข่าวนั้น จิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

        ให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของสติปัญญาที่จะระลึกได้ ในขณะนั้นถ้าสติเกิด ก็จะรู้ว่าโยนิโสมนสิการนั้นคืออย่างไร และอโยนิโสมนสิการนั้นคืออย่างไร แต่ถ้าสติไม่เกิด ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย

        เวลาที่ได้ข่าวคนสิ้นชีวิต ทุกคนก็คงจะบางครั้งตกใจ ไม่คาดฝัน บางครั้งก็รำพัน หรือเป็นทุกข์เศร้าหมอง หม่นหมอง ขณะนั้นอโยนิโสมนสิการ เป็นอกุศล ไม่เป็นประโยชน์เลย

        เพราะฉะนั้นถ้าสติเกิดระลึกได้ในขณะนั้น ก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ความโศกเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ความเสียใจ ไม่มีประโยชน์อย่างใดทั้งสิ้น แต่ที่ควรจะเป็น คือ ควรที่จะเบิกบานใจที่มีโอกาสเข้าใจพระธรรม และได้เห็นว่าพระธรรมที่ทรงแสดงนั้นเป็นสัจจธรรม แทนที่จะเศร้าโศกเสียใจก็ควรที่จะได้รับประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เที่ยง และเป็นอนัตตา

        สำหรับการฟังพระธรรมจะมีประโยชน์มาก เมื่อน้อมนำพระธรรมนั้นพิจารณาจิตใจของตนเอง เช่น ถ้าได้ข่าวการสิ้นชีวิตของใครก็ตาม ย้อนระลึกถึงตนเองนอกจากบุคคลนั้น เพราะเหตุว่าผู้ตายอาจจะเป็นผู้มีโลภะมาก ชอบภาพเขียน ชอบดนตรี ชอบสิ่งสวยงาม ชอบความเพลิดเพลินต่างๆ แล้วตัวของท่านเหมือนอย่างนั้นหรือเปล่า

        เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่มีโลภะมาก มีความติดข้องในทรัพย์สมบัติ ก็ควรที่จะได้รู้ว่า แท้ที่จริง แล้วสิ่งต่างๆ ปรากฏทางตา จึงเกิดความยินดีพอใจชั่วในขณะที่เห็น เวลาที่ปรากฏทางหู เป็นเสียงที่ไพเราะ ก็ทำให้เกิดความยินดีพอใจชั่วขณะที่ได้ยินเสียงนั้น หรือว่ากลิ่นหอมๆ ที่ปรากฏ ก็ทำให้เกิดความพอใจเพียงชั่วขณะที่สั้นมาก คือชั่วขณะที่กลิ่นนั้นปรากฏ แม้รส แม้สัมผัสก็เช่นเดียวกัน

        เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า แม้ว่ารูปจะเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปเร็วมาก เร็วสักเท่าไรก็ตาม ความพอใจก็ยังติดตามรูปที่ปรากฏนั้นเร็วอย่างนั้น จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น และสำหรับผู้ที่มากด้วยโทสะ ซึ่งแต่ละท่านก็จะต้องพิจารณาตนเองว่า เป็นผู้ที่มักโกรธขุ่นเคือง เดือดร้อนใจบ่อยๆ หรือว่าผูกโกรธใครไว้บ้าง ก็จะได้พิจารณาตามความเป็นจริง แท้ที่จริงก็หามีบุคคลนั้นไม่ จะมีบุคคลนั้นก็เพียงชั่วชาติเดียวที่ท่านพบเท่านั้นเอง หลังจากนั้น แล้วจะไม่มีอีกเลย

        เพราะฉะนั้นจะโกรธหลังจากที่บุคคลนั้นสิ้นชีวิตไป แล้ว ควรหรือไม่ควร ในเมื่อไม่มีบุคคลนั้นอีก ตราบใดที่ยังมีบุคคลนั้นให้เห็น ก็อาจจะทำให้ท่านนึกโกรธหรือผูกโกรธ แต่ถ้าคิดได้ว่า บุคคลนั้นจะอยู่ในโลกนี้ไม่นาน และก็จะจากไปโดยสิ้นเชิง จะไม่มีบุคคลนั้นอีกเลย ควรจะโกรธบุคคลนั้นเมื่อสิ้นชีวิต แล้วหรือไม่ ถ้าไม่ควร แม้ในขณะนี้เอง ก็เป็นชั่วขณะที่นามธรรม และรูปธรรมเกิดดับเท่านั้น ไม่นานเลย เพราะฉะนั้นถ้าใครเป็นคนที่มักจะขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจบุคคลอื่นๆ ง่ายๆ หรือว่าไม่ลืมความโกรธ ความขุ่นเคืองใจนั้น ก็ควรที่จะระลึกรู้ความจริงว่า พบกันเพียงชาตินี้ชาติเดียวจริงๆ แล้วก็จะไม่พบกันอีกเลย

        เพราะฉะนั้นก็ควรจะดีต่อกัน มีเมตตากัน หรือว่าควรจะโกรธกัน เพราะเหตุว่าการเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า เป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าไม่คิดว่าเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้าย ก็อาจจะไม่ทำดีกับบุคคลนั้น แต่ถ้ารู้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นกัน ก็อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยน แล้วก็มีความเมตตากรุณาต่อกันได้

        ถ้าท่านเป็นผู้ที่มากด้วยโมหะ ซึ่งก่อนที่จะได้ศึกษาพระธรรม ทุกคนก็ไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย เมื่อได้ศึกษาพระธรรม แล้วก็จะรู้ว่า มีสภาพธรรมที่ปรากฏที่จะต้องศึกษา ไม่ใช่เพียงศึกษาจากตำราหรือการรับฟังเท่านั้น แต่ขณะนี้เองมีสภาพธรรมที่ปรากฏที่ควรต้องประจักษ์แจ้งในสัจจธรรม ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไป ถ้ารู้อย่างนี้ก็ยังเป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า ควรที่จะฟัง และพิจารณาธรรมเพื่อที่จะเป็นสังขารขันธ์ให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ โดยที่จะไม่ละเลย หรือจะสนุกสนานต่อไปโดยที่ไม่ขวนขวายในการเจริญกุศล

        เพราะฉะนั้นถ้าทราบว่า เป็นผู้ที่ยังมีโมหะมากที่จะต้องขัดเกลา ก็จะทำให้ไม่ละเลยในการฟังพระธรรม และไม่ละเลยการเจริญกุศลทุกประการด้วย


    หมายเลข 10422
    9 ม.ค. 2567