ปัญญาในขั้นการฟังกับในขั้นการพิจารณา


        ผู้ถาม อยากให้ท่านอาจารย์กล่าวถึงลักษณะของปัญญาในขั้นการฟังกับปัญญาในขั้นการพิจารณาแตกต่างกันอย่างไร

        สุ. ปัญญาต้องเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูก ไม่ใช่จำ ถ้าจำ เรามีความเข้าใจถูกในสิ่งที่จำหรือเปล่า หรือมีความเห็นถูกในสิ่งที่จำหรือเปล่า หรือเพียงจำ นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างใช่ไหมว่าจำคือจำ แต่ว่าความเข้าใจถูกเห็นถูกต้องมีสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และก็เข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วย เช่น กำลังฟังเรื่องจิต ขณะนี้มีธาตุหรือธรรมซึ่งสามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็น ได้ยินพวกนี้ ขณะที่กำลังฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเป็นความเห็นถูก แต่ถ้าเพียงแต่จำว่าปรมัตถธรรมมี ๔ และก็จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ จำคำ จำเรื่อง แต่ว่าไม่ได้เข้าใจเลยว่าลักษณะนี้กำลังมี กำลังปรากฏ และก็เป็นธาตุซึ่งมองไม่เห็นเลยไปเกิดในรูปพรหมภูมิหรืออรูปพรหมภูมิ หรือสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดในนรก ธาตุนี้ก็ไม่มีรูปร่างเพราะไม่ใช่รูปธาตุ แต่เป็นธาตุที่เมื่อเกิดแล้วสามารถที่จะเห็น สามารถที่จะได้ยิน เป็นต้น เพราะฉะนั้นธาตุนี้มีจริง นี่คือความเห็นถูก ก็เป็นระดับของปัญญาที่จะทำให้สามารถเข้าใจลักษณะของจิตที่กำลังเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็จะมีการฟังอย่างละเอียด แล้วก็พิจารณาอย่างละเอียด และเข้าใจความหมายของคำที่ได้ยินได้ฟัง คือความหมายของพยัญชนะ ไม่ใช่ไปจำตัวคำโดยที่ไม่เข้าใจความหมายอย่างคำว่า “สังขารนิมิต” เข้าใจคำว่า “สังขาร” สภาพธรรมที่ปรุงแต่งมีการเกิดขึ้น มีการดับไป “นิมิต” คือรูปร่างหรือสัณฐานหรือสิ่งที่ทำให้ทรงจำไว้ได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็แล้วแต่ สิ่งที่ปรากฏ แล้วแต่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็มีนิมิตเพราะเหตุว่าจิตเกิดดับเร็วมาก ขณะนี้จิตเห็นกี่วาระ ขณะเดียวหรือเปล่า ไม่ใช่ขณะเดียวเลย นับถ้วนไหมจิตเห็นขณะนี้ เพราะว่าไม่ได้มีจิตเห็น (จักขุวิญญาณ) ขณะเดียว มีสัมปฏิจฉันนะ สัณตีรณะ โวฏฐัพพนะ ชวนะ และก็ยังมีภวังค์คั่น และก็ยังมีมโนทวารวิถีที่รู้อารมณ์เดียวกันสืบต่อ และก็ยังมีการได้ยินแทรก มีการคิดนึกต่างๆ กว่าจะถึงเห็นอีกหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้นที่ปรากฏเหมือนเห็นไม่ดับเลยก็ประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เช่นเดียวกัน เป็นรูปที่เกิดดับแต่ว่ามีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะซึ่งก็เร็ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ก็เป็นเพียงนิมิต สิ่งที่ปรากฏ แต่ความจริงสิ่งที่ปรากฏดับแล้ว แต่ก็มีการปรากฏสืบต่อจนเสมือนว่าไม่ดับเลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างที่มี ถ้าเราจะกล่าวว่าระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็คือสภาพธรรมที่สามารถปรากฏ และสติสัมปชัญญะก็รู้ตรงลักษณะนั้น แต่ไม่ใช่การเจาะจงว่ารู้จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สัณตีรณะ ขณะนี้ วาระนี้ ทวารนี้

        ผู้ถาม ดูเหมือนมันจะเลือก ไม่แน่ใจว่าสติสัมปชัญญะรู้จริงๆ หรือเลือกคือยังไม่รู้ตรงนี้

        สุ. ต้องมาจากการฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และสติก็อาจจะเกิด แต่ว่าไม่ใช่สติปัฏฐาน หรือว่าเป็นสติปัฏฐานที่พอฟังก็มีการรู้ตรงลักษณะ แต่ว่าเร็วมาก สั้นมาก และก็หมดไป แล้วอวิชชาที่เคยสะสมมานานแสนนานอยู่ที่ไหน ไม่มีปัจจัยจะเกิดสืบต่อที่จะปิดบังต่อไปหรือว่ากั้นต่อไป ไม่ให้เห็นว่าขณะนั้นก็ผ่านไปแล้วด้วย และก็สั้นมากด้วยจะรู้ชัดได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้การอบรมเจริญปัญญาจึงเป็นการอบรมทางฝ่ายกุศลซึ่งยังไม่สามารถที่จะดับอกุศลที่ได้สะสมมาเนิ่นนานให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นความเห็นผิด หรือว่าอุทธัจจะที่เกิดร่วมกับความเห็นผิด โมหะที่เกิดร่วมกับความเห็นผิด ก็ยังไม่ได้ดับเลย

        เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าในขณะที่ฟังก็รู้ว่ามีความเข้าใจเกิดขึ้น เป็นความเข้าใจไม่ใช่เรา นั่นคือลักษณะของปัญญาที่เข้าใจถูก เห็นถูก แต่ว่าต่อจากนั้นก็มีอกุศลซึ่งก็ไม่ใช่เราด้วย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจริงๆ ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงในธรรมที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนก็จะไม่เดือดร้อน เพราะว่าถ้าเดือดร้อนก็จะส่องถึงอัตตา ความเป็นเราที่ยึดไว้จนกระทั่งเดือดร้อน เวลาที่อกุศลจิตเกิดก็เดือดร้อน เวลาที่อกุศลจิตเกิดก็เดือดร้อนเพราะอยากให้กุศลจิตเกิดมากๆ หรือว่าอยากให้มีปัญญาเกิดร่วมด้วย อยากให้รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทันที อยากให้ดับความเห็นผิดให้หมดเลย นี่ก็คือความไม่รู้ทั้งหมด ความจริงเป็นอย่างนั้นไม่ได้เลย ต้องเป็นเรื่องของการเข้าใจริงๆ ตรงลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ แล้วก็การเข้าใจจะค่อยๆ คลายความไม่รู้ และความติดข้อง แต่ไม่เร็วเพราะว่าเราอยู่ในสังสารวัฏนี้ประมาณไม่ได้เลยว่านานเท่าไหร่ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัจจัยที่อกุศลจิตจะเกิดก็เกิด และก็ทำหน้าที่ของอกุศลคือไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ และปัญญาก็ค่อยๆ สะสมความรู้จนกว่าจะรู้ขึ้นๆ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 188


    หมายเลข 10352
    25 ม.ค. 2567