ติดข้องแล้วก็จากไป


        รูปธรรมต่างๆ มีมหาภูตรูปเป็นที่อาศัยเกิด ซึ่งประชุมเป็นสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ และหลากหลายแตกต่างกันไปตามสัดส่วนประกอบของรูปในแต่ละกลุ่ม ส่วนจิตเจตสิก ก็ยิ่งหลากหลายต่างๆ กันไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล แต่เพราะความไม่รู้ความจริง จึงมีแต่ความติดข้อง และเดือดร้อน แล้วก็จากโลกนี้ไป เป็นบุคคลใหม่ในชาติต่อๆ ไป ดังนั้นปัญญาที่เข้าใจถูกตามความจริงจะทำให้ละคลาย และถึงความดับทุกข์ได้จริงๆ จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด


        ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีมหาภูตรูป สีเหลือง สีชมพูตรงนี้มีไม่ได้ แต่มหาภูตรูปตรงนี้มีส่วนผสมที่หลากหลายมากทำให้เห็นเป็นสีเหลือง สีเขียว รูปร่างสัณฐานต่างๆ ตามมาอีกมากมาย แต่ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้รูปหนึ่งที่อยู่ที่มหาภูตรูป แต่ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่อ่อน ไม่ใช่เย็น ไม่ใช่ร้อน ไม่ใช่ตัวมหาภูตรูป แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ ถ้าไม่มีมหาภูตรูป รูปนี้ไม่มี รูปนี้ไม่เกิด มีไม่ได้เลย ที่มีก็คือเกิด แล้วเกิดพร้อมกันด้วย แยกกันไม่ได้เลย

        เพราะฉะนั้น รูปที่แยกกันไม่ได้ในภาษาไทย ทุกกลุ่มที่ละเอียดยิบที่สุด บางกลุ่มดูใหญ่ แต่จริงกลาปะหนึ่งเล็กสุดจะประมาณได้ แต่ก็ต้องมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มหาภูตรูป ๔ แล้วก็มีรูปที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูป คือ สิ่งที่สามารถกระทบตา จะเรียกว่า วัณณะ เรียกว่า สี เรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ ไม่เรียกเลยก็ได้ กำลังปรากฏอยู่ สิ่งนั้นอยู่ที่มหาภูตรูป แต่เป็นรูปที่กระทบตาได้

        เพราะฉะนั้น ก็มีรูปที่กระทบตาได้ ๑ รูป กลิ่น ๑ รูป รส ๑ รูป และโอชา รูปที่เมื่อกลืนกินไปแล้วก็เป็นปัจจัยทำให้มีรูปอีกกลุ่มหนึ่ง หรือกลาปะหนึ่งเกิดสืบต่อไปได้

        เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า ที่เคยเป็นดอกไม้ พอเห็นก็จำได้ เพราะไม่รู้ความจริง นานมาก เห็นทีไร จิตเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว เปลี่ยนให้ช้าลงได้ไหมคะ ไม่ได้ พอสิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว ทางใจรับรู้ต่อ สภาพที่จำ จำตั้งแต่เห็นเรื่อยมา จนกระทั่งรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น เห็นว่าเป็นคุณคำปั่น ต้องเห็นว่าเป็นคุณคำปั่น ไม่ใช่คุณธิดารัตน์ เพราะธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เพราะสิ่งที่มีต่างกันผสมออกมาแต่ละส่วน แต่ละกลาปะ

        เพราะฉะนั้น แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้นก แม้ไก่ แม้งู เห็นแล้วก็ต้องรู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร โดยสัณฐาน แต่ไม่มีชื่อ มีไหมคะ งูคิดเป็นชื่อเป็นเรื่องไหมคะ ก็แสดงให้เห็นว่า นี่เป็นความต่างกันของปฏิสนธิจิตซึ่งทำให้ทุกขณะจิตที่เกิดสืบต่อหลากหลายตามที่ได้สะสมมา ในชาตินั้นเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็มี มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยก็มี เพราะฉะนั้น คนจึงหลากหลายกันมาก มิฉะนั้นก็ไม่มีท่านพระสารีบุตร ไม่มีท่านพระมหาโมคคัลลานะ ไม่มีวิสาขาอุบาสิกา

        เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือสิ่งที่มีจริง ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ลองคิดถึงพระปัญญาคุณ ไม่สามารถกล่าวได้เลยว่า มากมายมหาศาลแค่ไหน ไม่มีการพรรณนาพระปัญญาคุณได้ตลอด ผู้ที่จะพรรณนาได้คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งเท่านั้น

        เพราะฉะนั้น ที่เรามีโอกาสได้ยินได้ฟังก็เพื่อพิจารณาไตร่ตรองให้รู้ความจริงว่า อะไรเกิด เกิดแล้วก็ตาย แต่ก่อนจะตายก็กินแล้วก็นอน แล้วระหว่างที่กินนอนนั้นก็มีแต่ความติดข้องทั้งหมด รักใคร่พอใจอะไร เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว รักที่สุดคือรูปที่ตัวเอง จิตเจตสิกทั้งหมดที่ยึดถือว่าเป็นเราเอาไปได้ไหม พ่อแม่ก็ยังทิ้งไว้ในป่าช้าในอดีตกาล ไม่พากลับไปบ้านด้วย แม้รักสุดจะรักก็ต้องเป็นอย่างนี้ แม้แต่คนที่รักตัวเองมากมายมหาศาล ทำนุบำรุงทุกวันเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ยาสีฟันต้องประเภทนั้นประเภทนี้ ทุกอย่างหมด แล้วก็เอารูปนี้ไปไม่ได้เลย แต่สิ่งที่สะสม ปัญญาขณะนี้ที่เริ่มเข้าใจธรรมะ พอได้ยินได้ฟังต่อไปเข้าใจได้ แล้วก็เข้าใจได้เพิ่มขึ้นด้วย

        เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเสริฐที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ปัญญา ความเห็นถูกต้อง ทุกข์เกิดเพราะไม่รู้ความจริง แต่ปัญญาเกิดไม่เป็นทุกข์เลย เพราะเข้าใจถูกว่า ไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่เกิดแล้วดับไปชั่วคราว แล้วจะไปเดือดร้อนกับอันไหน ดับหมดแล้วไม่เหลือเลย

        อ.วิชัย เพราะฉะนั้น ความเป็นธรรมะที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้น

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ ทุกชาติที่มีโอกาส เพราะเหตุว่ามิฉะนั้นอยู่มาในสังสารวัฏนานเท่าไรแล้ว นับประมาณไม่ได้ เกิน ๔ อสงไขยแสนกัป เกิน ๒๐ เกินอสงไขยอสงไขย แล้วก็จะอยู่ต่อไปอีก กำหนดไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังไม่รู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง เดี๋ยวก็ไปแล้ว ใช่ไหมคะ ไปไหนก็ไม่รู้ด้วย ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นคนนี้อีกเลย ไม่มีทางที่จะรู้จักว่า นี่ใคร เพราะเหตุว่าเป็นบุคคลอื่นทันที


    หมายเลข 10285
    18 ก.พ. 2567