ปัญญาดุจหม้อคว่ำ


    ผู้ถาม  อาจารย์สุจินต์และวิทยากรทุกท่าน ตามที่ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนมา ใช้พูดกันง่ายๆ ผมไม่เก่งบาลี แต่ผมอาศัยคำสอนของท่านอาจารย์สุจินต์ที่ว่า  ไม่ต้องจำ แต่ขอให้เข้าใจ นี้เป็นสำคัญ ทีนี้คนที่ฟังแล้วจะเข้าใจความหมายตรงนี้ไหมว่า  เข้าใจแต่ไม่ต้องจำ  สำคัญตรงนี้

    ทีนี้ที่พูดกันเมื่อกี้ที่ว่า คำว่าปัญญา รู้จักตัวปัญญาหรือยัง เพราะปัญญาเป็นชื่อไม่ใช่ตัวจริง นี่ผมเข้าใจของผม ว่าเหมือนอย่างว่าโลภะ นี้ชื่อมัน แต่ตัวจริง รู้หรือเปล่า  พระพุทธเจ้าพูดไว้ ๓ ข้อ  เป็นข้ออุปมา ใช่ไหม อย่างนี้  นี่ผมถามอาจารย์สุจินต์ก่อน

    ส.   ค่ะ เป็นคำอุปมา ที่จริงสภาพธรรมะมีเรื่องมาก เพราะเหตุว่าสภาพธรรมะก็ละเอียด ความคิดของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ทรงแสดงพยัญชนะที่จะทำให้เข้าใจในสภาพธรรมะของแต่ละคนในขณะที่ฟังพระธรรม ตั้งแต่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ก็คงจะมี เพราะว่าบางคนเคยฟังเรื่องชาดกบ้าง หรือเรื่องศีลธรรมบ้าง ก็เข้าใจได้ แต่พอถึงปรมัตถธรรม บอกไม่เข้าใจ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ใหม่  แต่ว่าปรมัตถธรรมก็เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้ามีความสนใจในขณะที่ฟัง แล้วก็เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง คือ ไม่คิดเรื่องอื่นจากสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง พยายามให้มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แล้วก็ฟังเพิ่มขึ้น ความเข้าใจก็มากขึ้นด้วย

    ผู้ถาม  ทีนี้ผมจะถามอาจารย์อีกข้อหนึ่งที่ผมมีความสงสัยอยู่ คือ ฟังแล้วผมก็เข้าใจ ทีนี้ผมก็อยากจะมาถามอาจารย์ให้มั่นใจว่าที่ผมเข้าใจนี้ถูกหรือเปล่า อย่างจักขุที่ทำหน้าที่กระทบกับรูป คือ รูปารมณ์ คือ สี แล้วเกิดการเห็นขึ้นมา ก็ต้องอาศัยผัสสะ ตามเหตุผลก็คือ จักขุประสาทกระทบกับรูปารมณ์ แล้วจักขุวิญญาณเกิดขึ้น ผมถามว่า การที่มันกระทบกันระหว่างรูปกับประสาทกระทบกัน หรือว่ารูปที่มากระทบกับจิต อันนี้ผมสงสัย

    ส.   ผัสสะ เป็นเจตสิก เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น ก็มีกิจของผัสสะ คือกระทบอารมณ์

    ผู้ถาม  กระทบอารมณ์ แล้วทำให้จิตรู้  อย่างนั้นใช่ไหมครับ

    ส.   เกิดพร้อมกันกับจิต

    ผู้ถาม  ครับ พร้อมกัน แต่ถ้าเกิดรูปกระทบกับรูป อย่างเช่นว่า สีกระทบกับตา อันนี้ไม่รู้อะไรเลย

    ส.   ถ้ารูปกระทบรูป ไม่ใช่ผัสสเจตสิก

    ผู้ถาม  ครับ ๆ อันนี้ผมก็เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับ

    ส.   อันนี้ก็ไม่ใช่หม้อคว่ำ แล้วก็ถ้าใครเป็นหม้อคว่ำ  ก็จะรู้ว่า ทรงพระมหากรุณาแสดงเป็นการเตือน อย่างที่ท่านอาจารย์สมพรท่านกล่าวเมื่อกี้นี้ คือเวลาที่ฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจ  ก็ไม่ควรที่จะไม่เห็นประโยชน์  แต่รู้ว่าพระปัญญาคุณมากมายที่ทรงแสดง เท่าที่เราสามารถจะเข้าใจได้ เพราะว่าเป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ในครั้งแรกที่ได้ยินได้ฟัง ก็จะรู้ว่าไม่เข้าใจ หรืออาจจะเข้าใจบ้าง แต่เวลาที่ยิ่งฟัง  ความเข้าใจก็เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นบุคคลที่เพิ่มจากการที่เป็นหม้อคว่ำมาเป็น หน้าตัก แล้วก็มีความเข้าใจต่อไป ก็จะเป็นปัญญาที่กว้างขวาง

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นพระมหากรุณาว่า แม้ เรื่องหม้อ แม้เรื่องหน้าตัก แม้เรื่องปัญญากว้างขวาง ก็ทรงแสดงเตือนตามความเป็นจริง ให้ผู้ที่ฟังได้รู้ความจริงของตัวเอง แล้วก็ค่อยๆ อบรมให้มากขึ้น


    หมายเลข 10247
    18 ก.ย. 2558