ทางสายกลาง**


    เรณู   กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า มัชฌิมาปฏิปทาที่จะประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันนั้น ขอความกรุณาท่านอาจารย์ได้กล่าวในส่วนนี้ 

    นิภัทร  มัชฌิมา  มัชฌิม แปลว่า กลาง ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ ปฏิปทา ก็แปลว่า ข้อปฏิบัติ  เวลาเราแปลกันก็มักจะแปลว่า ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง

    ส.   ถ้ามีสายกลางก็ต้องหมายความว่า มีส่วนสุด ๒ ข้าง คือข้างหนึ่งก็เป็นการทรมานตัว อีกข้างหนึ่งก็เป็นการที่เพลิดเพลินไป

    เพราะฉะนั้น ทางสายกลางในภาษาไทยที่จะเข้าใจได้ก็คือเป็นการอบรมเจริญปัญญา เพราะว่าหัวใจของพระพุทธศาสนาหรือพระธรรม คือ เพื่อที่จะให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเหตุว่าถ้าเราไม่มีปัญญาของเรา แล้วก็ต้องอาศัยคนอื่นอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ถ้าใครสามารถที่จะทำให้เราเกิดปัญญาของเราเอง จากการฟัง จากการพิจารณาไตร่ตรอง อันนั้นก็จะทำให้ปัญญาของเราเจริญขึ้น

    เพราะฉะนั้น ในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ คำสอนของพระองค์ให้ผู้ฟังเกิดปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง ตามที่พระองค์ทรงตรัสรู้  และหนทางก็มี เพราะเหตุว่าขณะนี้ก็มีสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏที่จะต้องเข้าใจ ข้อสำคัญที่สุดคือ ไม่ใช่ไปคิดว่าจะทำ แต่ว่าสภาพธรรมะที่มีในชีวิตประจำวัน ควรที่จะได้เริ่มคิดที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า แท้ที่จริงแล้วการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่รู้อื่น นอกจากสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะเหตุว่าถ้ารู้อื่น ไม่ใช่สิ่งที่กำลังมี ไม่ทราบจะให้รู้อะไรที่ไม่มีในขณะนี้

    นี่ก็เป็นเหตุเป็นผลที่เราจะต้องทราบว่า เราเกิดมามีชีวิตทุกวันที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่คิดนึก เป็นสุข เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร มากมายมหาศาลกับสิ่งที่ปรากฏกับเรา เสมือนไม่มีอะไรเลย ดูเหมือนว่า เป็นชีวิตธรรมดาที่แสนจะธรรมดา คือ เห็น แล้วได้ยิน แล้วได้กลิ่น แต่การตรัสรู้นั้นสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะที่ปรากฏจนสามารถที่จะละอกุศลธรรมทั้งหมดได้

    นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่าที่ทุกคนเกิดมาต้องมีอวิชชา คือความไม่รู้  ถ้ามีวิชชา หรือว่าไม่มีกิเลสเลย ไม่ต้องเกิด เป็นผู้ที่หมดกิเลส แต่ทุกคนไม่ว่าใครแม้แต่พระชาติสุดท้ายที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มีกิเลส ซึ่งจะต้องดับเป็นสมุจเฉท เมื่อได้อบรมพระปัญญาบารมีถึงความที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น สำหรับเราที่เริ่มสนใจธรรมะ ก็จะต้องเข้าใจถูกจริงๆ ว่า เราไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มากมายสักแค่ไหน มากมายจนไม่รู้ว่าไม่รู้ แต่จริงๆ แล้วไม่รู้เลยว่า จริงๆ แล้วไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมะที่เกิดจึงได้ปรากฏ แล้วที่จะเกิดได้ ก็เพราะเหตุว่ามีปัจจัยปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้นเป็นไปต่างๆ สำหรับแต่ละบุคคล ซึ่งไม่เหมือนกันเลย

    วันนี้ทั้งหมดตั้งแต่เช้ามา เห็นแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินแล้วเป็นอย่างไร จำได้หรือเปล่า ลืม เพราะว่าเป็นสิ่งที่เกิดและดับเร็วมาก จนกระทั่งเป็นเรื่องซึ่งคิด  คิด ไป ตลอด แล้วก็ไม่รู้เลย คิดอะไรเมื่อกี้นี้ก็ลืมไปแล้ว เมื่อเช้านี้ก็ลืมไปแล้ว แต่เวลาที่เกิด ความสุข ความทุกข์ มีความต้องการติดข้อง  เหมือนกับว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

    เพราะฉะนั้น ก็ให้รู้ความจริง เมื่อเกิดมาแล้วที่จะไม่ไป ไม่มี กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ มีใครไปไหนหรือยังคะ ธรรมะเป็นเรื่องที่ต้องคิด ต้องพิจารณา ขณะนี้ที่กำลังนั่งมีใครไปไหนหรือยัง จิตเกิดแล้วต้องไป อยู่ไม่ได้เลย  เกิดขึ้นทำกิจการงานหน้าที่แล้วดับ แล้วก็จิตต่อไปก็เกิดขึ้นสืบต่อทำกิจการงานหน้าที่นั้นแล้วก็ดับ

    เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เช้าจนถึงขณะนี้ จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน มีลักษณะต่างๆ กัน แม้ในขณะนี้เอง ทางตาไปสู่สิ่งที่กำลังปรากฏ ดับ ทางหูไปสู่เสียงที่กำลังปรากฏ ทางใจกำลังคิดนึก ก็ไปสู่เรื่องที่กำลังคิดนึก

    นี่เป็นความรวดเร็วของสภาพธรรมะ ซึ่งทั้งหมดเป็นอนัตตา การศึกษาธรรมะต้องเห็นประโยชน์ว่า สามารถทำให้คนที่ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ค่อยๆ รู้ขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะละกิเลสได้ แต่ว่าไม่รวดเร็ว แล้วก็เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ศึกษาทุกคนเป็นผู้ที่ตรง แล้วก็เป็นผู้ที่รู้ด้วยตัวเอง คงไม่ต้องถามใครว่า เราไม่รู้แค่ไหน  หรือว่าเราเริ่มรู้แค่ไหนแล้ว เพราะว่าแต่ละคนก็ต้องรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทางอื่นเลย นอกจากเห็นประโยชน์ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงพระธรรม  แล้วก็ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลก็ได้ทรงจำสืบทอดจนกระทั่งมาถึงเราในยุคนี้ ซึ่งทำให้ผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังและได้สะสมศรัทธาและก็กุศลธรรมมาแล้ว สามารถที่จะศึกษาและเข้าใจถูกต้องขึ้น แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย ถ้าใครคิดว่า สามารถที่จะหมดกิเลสได้เร็ว  หรือว่าในเวลาไม่นาน ก็จะมีปัญญาเกิดขึ้น สามารถประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะเหตุว่าไม่ใช่รู้อื่น แต่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ ซึ่งจะเห็นพระคุณของทั้ง ๓ ปิฎกว่า ช่วยให้เราเกิดปัญญาขึ้น เพราะฉะนั้น ก็จะทำให้พุทธบริษัทสนใจศึกษาแล้วรู้ว่า การฟังพระธรรมครั้งหนึ่งๆ ก็จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจพระธรรมขึ้น นั่นคือหนทางที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งเป็นมูลเหตุของอกุศลทั้งหลายได้


    หมายเลข 10245
    18 ก.ย. 2558