ฟังยังไง ฟังแล้วบรรลุ


    ประทีป   ผมเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ว่า บุตรเศรษฐีทั้งภรรยา ถ้าเอาชื่อออกทั้ง ๒ ท่าน เอาเรื่องราวออกทั้ง ๒ ท่าน ก็จะเหลือแต่จิต เจตสิกที่สะสมมาที่จะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี แล้วก็ก่อนที่จะสะสมมาเป็นพระอรหันต์ได้ เป็นพระอรยิบุคคล พร้อมที่จะเป็น อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีการอบรมปัญญาบารมีมา มีปัญญาที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง สะสมมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แต่ทำไมถึงว่า ในวันวัยขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย ทำไมจะไม่มีเหตุอันใดเลยหรือครับ ที่จะทำให้ทั้ง ๒ ท่าน เข้าถึงพระอริยบุคคล หรือเป็นพระอรหันต์ได้ ครับ

    ส.   ก่อนอื่น ขอให้ความหมายของพรหมจรรย์ก่อน เท่าที่ทราบ พรหม ก็คือประเสริฐ จรรย์ ก็คือความประพฤติ เพราะฉะนั้น พรหมจรรย์ คือ ความประพฤติที่ประเสริฐ ความประพฤติที่ประเสริฐก็มีหลายขั้น เพราะฉะนั้น  สำหรับเศรษฐี เราไม่ทราบเลยถึงอดีตชาติแสนโกฏิกัป หรือนานกว่านั้นว่า เขาสะสมอะไรมาบ้างในเรื่องของการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ว่ายังไม่ได้ดับกิเลสเลยสักอย่าง

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลย ถึงจะเป็นคนดีในชาติหลายๆ ชาติ มีการฟังธรรมมา ในหลาย ๆ ชาติ มีการอบรมเจริญปัญญาถึงระดับที่สามารถจะถึงความเป็นพระอรหันต์ ในชาตินั้น แต่ถ้าไม่มีปัจจัยพร้อมที่จะทำให้เกิดปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะ ปัญญาขั้นนั้นก็เกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ ที่ว่า อย่างท่านพระสารีบุตร มีปัจจัยที่ท่านจะได้พบท่านพระอัสสชิ แล้วก็ได้ฟังธรรมะของท่าน เมื่อได้ฟังธรรมะ จะเห็นปัจจัยของท่านพระสารีบุตรที่ได้สะสมมา พร้อมที่จะรู้สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง ซึ่งสภาพธรรมะที่ปรากฏแก่ท่านพระสารีบุตร เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี ทางตาก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ ทางหูก็คือเสียง ทางจมูกคือกลิ่น ทางลิ้นคือรส ทางกายสิ่งที่กระทบสัมผัสแล้วปรากฏเป็นอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ทางใจก็เป็นการคิดนึก เป็นสภาพธรรมต่างๆ ก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ให้เห็นว่า ยากมากที่สามารถที่จะรู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน  เพราะว่าในขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตา มี ฟังมานานแสนนานก็ยังเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้  เห็นทุกอย่าง ลืมคิดสนิทไปเลยว่า ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะมีการนึกถึงเรื่องราวเป็นคนเป็นสัตว์ที่นี่หรือเปล่า แต่เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างไร ก็นึกคิดตามสิ่งที่ปรากฏทางตา เช่น ถ้าเห็นดอกมะลิ ก็จะคิด เห็นดอกมะลิ เพราะเหตุว่าเห็นสิ่งนี้ที่กำลังปรากฏ ถ้าเห็นถ้วยแก้ว ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้คิดเป็นถ้วยแก้ว

    เพราะฉะนั้น การที่เราไม่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะซึ่งเกิดแล้วดับ อย่างรวดเร็วว่า ถ้ามีสิ่งที่ปรากฏโดยไม่มีการคิดนึกเลย ทางใจ สิ่งใดๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น  เพียงปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่างๆ เท่านั้น แต่เมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตาดับไปแล้วก็จริง แล้วก็มีการคิดนึกเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏทางตาด้วยความจดจำ  เนิ่นนามมาแล้วที่จะเป็น อัตตสัญญา

    เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นก็มีความยึดถือมั่นคงว่า  สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไม่ดับ แต่ว่าผู้ที่สะสมปัญญามาพร้อมที่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพียงฟังก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    เพราะฉะนั้น การสะสมของแต่ละคน เมื่อสะสมไป มีความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมะเพิ่มขึ้น ก็ต้องแล้วแต่ว่า ขณะนั้นถึงกาลมีปัจจัยที่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ได้หรือเปล่า แต่ต้องฟัง เมื่อเป็นสาวก ผู้ที่เป็นสาวกจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมโดยไม่ฟัง เหมือนอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ก็เห็นความจริงว่า อย่างไรๆ ถึงแม้ว่า สะสมไปในฐานะของสาวกก็ต้องมีการฟังให้เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ  แล้วแต่ว่าปัญญาระดับใดจะเกิดขึ้น

    นิภัทร  ก็น่าคิดว่า กถาที่พระพุทธองค์ตรัส มีอยู่ ๒ ตอน ตอนแรกก็ว่า พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์  ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซา ดั่งนกกระเรียนแก่ซบเซาอยู่ในเปลือกตมที่หมดปลา ฉะนั้น เป็นคาถาแรก  คาถาที่ ๒ พวกคนเขลาไม่ประพฤติพรหมจรรย์  ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่า  เหมือนลูกศรที่ตกจากแล่งฉะนั้น  คาถา ๒ คาถา ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น น่าสงสัยไหม ทำไมถึงได้บรรลุ ฟังแค่นี้ไม่เห็นบอก พูดถึงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ให้เจริญสติปัฏฐาน อะไรไม่เห็นมีเลย ในนี้ แต่ฟังแล้วได้บรรลุ น่าสงสัย ท่านอาจารย์ จะช่วยสงเคราะห์อย่างไร

    ส.   จริงๆ ก็เป็นสภาพธรรมะที่มี กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ถ้ามีปัญญาที่จะสามารถรู้ สามารถที่จะเข้าใจได้ แม้แต่ คำว่า “พรหมจรรย์”

    สุนาน  กราบเรียนถามท่านอาจารยสุจินต์  ท่านอาจารย์เมื่อกี้บอกว่า ถ้าเพียงแต่เห็น เพียงแต่ได้ยิน แล้วไม่คิดนึกตาม ก็จะไม่มีอะไร แต่ว่าตามความจริงแล้ว ก็ต้องคิดนึกตาม ขั้นจะเป็นอัตตสัญญา ก็เป็นปกติ คำถามของหนูมีว่า เป็นอัตตสัญญา หรือเป็น ปกติที่จะต้องรู้อยู่แล้วว่า สิ่งที่เห็นคืออะไร แต่ว่าเป็นอกุศล ใช่ไหมคะ แต่ถ้าพูดถึงว่าคิดนึกตาม โดยที่รู้ว่า เมื่อเห็นแล้วเป็นอะไร ก็จะไม่ใช่อัตตสัญญา

    ส.   คือการฟังพระธรรม  ช่วยให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น อย่างขณะที่เราเห็น เราก็เห็นทุกวัน แล้วก็เห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา ทุกวันด้วย ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย เราไม่สามารถที่จะรู้ความต่างกันว่า ขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่คิด แต่ว่าเวลาที่ฟังแล้วค่อยๆ พิจารณาว่า ขณะนี้จริงๆ แล้ว อะไรกำลังปรากฏ ก็มีสีสันวัณณะต่างๆ เท่านั้น ที่ปรากฏ แล้วความคิดก็ปรุงแต่ง

    สุนาน  แต่อย่างไรก็ต้องคิด

    ส.   ถูกต้องค่ะ แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ คือ ความจริง คือ สิ่งที่ปรากฏทางตามี แล้วก็มีความคิดด้วย เพราะฉะนั้น ปัญญาก็จะต้องอบรมจนกว่าจะรู้อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไปกั้นไม่ให้คิด  แต่หมายความว่าเมื่อคิดเมื่อรู้ ก็สามารถที่จะค่อยๆ พิจารณาได้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็คือขณะที่กำลังเห็น

    สุนาน  แล้วสิ่งที่ ตามมาก็เป็นปกติอีกเช่นเดียวกัน

    ส.   แต่ก็รู้ตามความเป็นจริง เป็นปกติ


    หมายเลข 10211
    18 ก.ย. 2558