ชีวิตประเสริฐ


        นักปราชญ์มีชีวิตที่ประเสริฐด้วยปัญญา ถ้าไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร ประโยคนี้มีความหมายไหมคะ ก็กล่าวตามๆ กัน นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ชีวิตที่ประเสริฐคือชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญา เท่านี้ แต่ไม่รู้เลยว่า พูดทำไม พูดแล้วเข้าใจอะไร จนกว่าจะรู้ว่า ปัญญารู้อะไร จึงสามารถรู้ความต่างได้ว่า เพราะมีปัญญาชีวิตจึงประเสริฐ แต่ถ้าไม่มีปัญญา ชีวิตจะประเสริฐได้อย่างไร ก็เป็นความไม่รู้ เพราะเหตุว่าปัญญาเป็นสภาพที่รู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูก

        เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงการละความเป็นตัวตนโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะเหตุว่ารู้ความจริงของทุกอย่างที่ปรากฏว่า เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วจะยึดถืดว่าเป็นเราได้ไหม แต่เพียงได้ฟังแค่นี้ไม่พอ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ แต่ละคนก็ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างคิด แล้วแต่คิดตามที่ได้ฟังมานาน และสะสมมานานในสังสารวัฏ หรือจะเพิ่งเริ่มคิดก็แล้วแต่ เช่น ชีวิตที่ประเสริฐ ชีวิต คือ จิตเจตสิก ในภพภูมิที่มีขันธ์ที่มีรูปธรรม ก็มีรูปด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องมีจิต เจตสิก และรูป

        เพราะฉะนั้น คำว่า “ประเสริฐ” ที่นี่ รูปประเสริฐ หรืออะไรประเสริฐ หรือจิตที่แต่ละคนเข้าใจว่าเป็นเรา ขณะนั้นรู้ไหมว่าดีชั่วระดับไหน ต้องเป็นปัญญาจึงจะรู้ได้ ถ้าเป็นเรา จะไม่รู้เลย เราพยายามจะทำดี ความเป็นเรานั่น หรือถูกต้อง ไม่ใช่ปัญญาเลย

        เพราะฉะนั้น ต้องไม่คิดถึงว่า “เรา” แต่คิดถึงจิต สภาพของจิตจำกัดไหม เรียกว่า สัตว์ เรียกว่า บุคคล แต่ความจริงจิตเป็นจิต จิตจะเป็นสัตว์ บุคคลใดๆ ไม่ได้เลย แต่เพราะมีรูปต่างกัน เราก็มองเห็นว่าเป็นหญิง เป็นชาย เป็นนก เป็นคน หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ละหนึ่งๆ ไปเพราะรูแ แต่ถ้าเอารูปออกไป เริ่มคิดถึงจิตจริงๆ และพิจารณาจิตของคนอื่นก็ไม่ได้ จะไปรู้จิตของคนอื่นไปกล่าวว่าเขาดี เขาชั่วไม่ได้เลย แต่จิตที่มีที่เกิดขึ้นที่เป็นธาตุรู้ ที่ไม่เคยรู้เลยว่า ไม่ใช่เรา เข้าใจว่าเป็นเรา เป็นของเราตลอด ก็เริ่มพิจารณาโดยความถูกต้องว่า จิตนี้ดีชั่วแค่ไหน เพราะวันหนึ่งๆ เคยคิดถึงจิตไหม มีแต่เรื่องอื่น แต่คิดถึงจิตคงน้อยมาก แต่ฟังดูแล้วจะรู้ว่า ชีวิตที่ประเสริฐก็เพราะจิตที่ประเสริฐ ถ้าจิตไม่มีปัญญาจะประเสริฐได้อย่างไร เช่น จิตเห็น พอเกิดมาแล้วเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นมนุษย์ เกิดแล้วต้องเห็น ไม่เอารูปร่างใดๆ มาปะปนเลยทั้งสิ้น จิตเห็นจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ เหมือนกันหมดไม่ว่าเป็นมนุษย์ เป็นงู เป็นมด หรือเป็นช้าง ขณะนั้นประเสริฐไหม เป็นผลของกรรมต้องเห็น ต้องได้ยิน แต่เห็นแล้ว เกิดมาแล้วมีโอกาสได้ยินได้ฟังความจริง เพราะฉะนั้น ไม่เอารูปร่างมาเกี่ยวข้องก็มีเห็น มีได้ยินต่างๆ แต่สำหรับสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นงู จะเป็นช้าง สุนัข แมวก็แล้วแต่ ได้ยินเหมือนกับเรา ที่บ้านมีสุนัข หรือเปล่า เห็นสิ่งเดียวกันกับเรา หรือเปล่า แต่เห็นเป็นอย่างไร ไม่สามารถจะรู้จะเข้าใจอะไรได้เลยทั้งสิ้น ได้ยินเสียง เราสามารถรู้ความหมายของเสียงซึ่งเป็นเสียงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ พอฟังแล้วก็สามารถรู้ได้ว่า นี่คือสิ่งที่มีจริงที่สามารถเริ่มเข้าใจถูกต้อง แต่สุนัข แมว จิ้งจกที่บ้านได้ยินเหมือนกัน จิตเหมือนกันทุกประเภท จิตจะไม่เป็นไปตามคนนี้จิตอย่างนี้ หลังจากจิตเห็นแล้วก็จะต้องมีจิตได้ยินเกิดขึ้นทันที ไม่ได้ค่ะ จิตต้องเป็นไปตามนิยามะของธรรมะว่า เมื่อจิตนี้เกิดขึ้นแล้วดับไป จิตอะไรจะเกิดต่อ ในบรรดาจิตที่เกิดต่อก็จะต้องมีกุศล และอกุศล สัตว์เดรัจฉานมากด้วยอกุศล หรือกุศล แล้วมนุษย์ล่ะคะ ต่างกันตรงไหน ใครคิดว่า หลังจากเห็นแล้วจิตมนุษย์เป็นกุศลมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน อาสวะเหมือนกันหมดไม่ว่าใคร

        เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่า เราดีกว่า ดีกว่าเมื่อไร ประเสริฐกว่า ประเสริฐเมื่อไร ไม่ใช่ว่าพอเห็นแล้วประเสริฐเพราะเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เลย เห็นแล้วก็มีอาสวะ จะเป็นกามาสวะ พอใจในสิ่งที่เห็น ภวาสวะ ติดข้องในความเป็นสิ่งนั้น สุนัขไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นสุนัข แต่ก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏด้วยความยินดีพอใจในความเป็น ในความเห็นก็ได้ว่าเที่ยง

        เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะไม่มีใครไปเจาะจงว่า เมื่อบุคคลนี้เห็นแล้วจะเป็นอาสวะประเภทใด หรือจะเป็นอกุศลประเภทใด แต่เหมือนกันหมด หมายความว่าเมื่อมีความไม่รู้อยู่แล้วมีความเห็นผิดซึ่งยังไม่สามารถเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ ธรรมะต้องเป็นธรรมะ จิตเกิดดับต้องตามปัจจัย จะสับสนไม่ได้เลย ถ้าเราไม่คิดถึงรูปร่าง แล้วใครมีกิเลสมากน้อยกว่ากัน ปราชญ์ถึงได้กล่าวว่า ชีวิตที่ประเสริฐก็คือชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญา

        รู้ไหมว่า ธาตุรู้ซึ่งสะสมมาในแสนโกฏิกัป เราจะใช้คำว่า “คุณภาพของจิต” ภาวะที่เป็นส่วนที่เป็นกุศลฝ่ายดี สะสมมาเท่าไร แล้วภาวะที่เป็นส่วนไม่ดีสะสมมาเท่าไร ถ้าไม่ใช่ชีวิตประจำวันรู้ไม่ได้เลย แต่เพราะสิ่งนั้นเกิดแล้วจึงรู้ว่า เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ไม่มีใครต้องไปทำอะไร ปัญญาก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ คือ เดี๋ยวนี้ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว เพราะไม่สามารถจะกลับมาให้เข้าใจได้ สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิด

        เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เท่านั้น ทุกครั้งก็เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะเหตุว่าถ้าสะสมความเห็นถูกมาก็สามารถเห็นถูกต่อไป แล้วก็เพิ่มขึ้นๆ จนได้ยินธรรมะแม้สั้น แต่ก็สามารถละความเป็นตัวตน และละกิเลสได้ นั่นถึงจะเป็นชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญาที่เป็นชีวิตที่ประเสริฐ

        เพราะฉะนั้น การเกิดเป็นมนุษย์จึงกล่าวว่า ประเสริฐกว่า ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะเหตุว่าเป็นผลของกุศลกรรม และถ้าเป็นผลของกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาที่สะสมมามาก ฟังธรรมะก็เข้าใจ แต่ถ้าสะสมมาน้อยก็ค่อยๆ ฟังไป ค่อยๆ สะสมไปจนถึงกาลที่สามารถถึงขณะที่ละการยึดถือสภาพธรรมะนั้นๆ ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด


    หมายเลข 10184
    29 ธ.ค. 2566