นักลวง


        ความจริงต้องพิจารณาว่า เพียงได้เข้าใจจะน้อย จะมากสักเท่าไรก็ตาม เพียงได้เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เห็นคุณค่าไหมคะ เพียงแม้ได้เข้าใจเท่านี้ก็ประเสริฐ ยังมีสิ่งที่ทำให้เข้าใจได้มากกว่านี้อีก ยิ่งประเสริฐกว่านี้ เพราะว่าไม่ใช่สามารถเพียงฟัง แต่ประจักษ์แจ้งความจริงด้วย เห็นโลภะ นักลวง ลวงให้อยู่ในสังสารวัฏ ลวงทุกวัน ล่อด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ยั่งยืน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริงหามีไม่ เป็นเพียงสิ่งที่มีชั่วคราวเหมือนในฝัน เพราะปรากฏแล้วหมดไป แล้วอยู่ไหน ไม่เหลือเลย เพียงเข้าใจเท่านี้ก็ประเสริฐ

        เพราะฉะนั้น ถ้ารู้คุณค่าของการเข้าใจจริงๆ จะไม่ถูกโลภะลวงให้อยากรู้มากกว่านี้ เป็นไปได้อย่างไร แค่นี้ก็มากแล้วที่มีโอกาสได้ฟัง และถ้าเข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคง ยิ่งมากขึ้นในเพียงไม่กี่คำ แต่เป็นความจริงที่สามารถประจักษ์ได้

        เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะให้โลภะลวงต่อไปว่า อยากรู้มากกว่านี้ ควรจะก้าวหน้ามากกว่านี้ ฟังมาตั้งนานแล้ว แต่ขณะที่เพียงแม้ได้เข้าใจอย่างนี้ก็บุญแล้ว ประเสริฐแล้ว แล้วก็มีโอกาสเข้าใจมากกว่านี้อีก เพราะพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทุกคำมีค่า ถ้าเราฟังจริงๆ เพื่อเข้าใจ แล้วก็รู้ว่า เมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องมีใครมาลวงให้อยาก หรือต้องการเกินกว่านี้ เพราะไม่มีเหตุพอที่จะให้เข้าใจเกินกว่านี้ได้ เมื่อฟังเท่านี้เข้าใจแค่นี้ ฟังต่อไปก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงตรัสรู้ความจริงทั้งหมด รู้อัธยาศัยของสัตว์โลกที่สะสมมากด้วยโลภะ มากด้วยอวิชชา มากด้วยโทสะ มากด้วยศรัทธา หรือมากด้วยปัญญา แต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันเลย ขณะจิตแรกที่เกิดก็เป็นเพราะการสะสมกุศล อกุศล และกรรมที่จะให้ผลในแต่ละชาตินั้นด้วย โดยไม่มีใครสามารถเลือก หรือบังคับบัญชาได้

        เพราะฉะนั้น ที่ได้สะสมมาแล้ว ที่เกิดในขณะแรกจนถึงได้มีโอกาสฟังธรรมะก็ส่องไปถึงการได้ฟังมาแล้ว และมีศรัทธา เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจจึงเป็นลาภอันประเสริฐที่ได้เข้าใจเพียงเท่านี้ก่อน จะเข้าใจมากมายทันทีจนถึงที่สุดเป็นไปไม่ได้ เข้าใจ แล้วก็เข้าใจขึ้น เข้าใจก่อน เข้าใจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมั่นคง ขณะนั้นก็จะรู้ว่า หนทางเป็นหนทางเดียวที่จะละความเป็นตัวตนซึ่งมาก ความเป็นตัวตนปรากฏในขณะที่แม้คิดว่า เมื่อไรเราจะรู้มากกว่านี้ อยากรู้มากกว่านี้ ทั้งๆ ที่ได้ฟังแล้วก็ได้เข้าใจตามที่ได้ฟังเท่านี้ และตามที่ได้ไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้น ก็พอใจ ขณะนั้นก็เป็นกุศล ไม่เดือดร้อนว่าอยากรู้กว่านี้ เมื่อไรจะรู้กว่านี้

        เพราะฉะนั้น ควาเห็นโลภะว่าเป็นสิ่งที่ควรละ ทรงแสดงไว้เป็นอริยสัจจะที่ ๒ เป็นธรรมะที่ควรละ

        เพราะฉะนั้น ควรละ ไม่ใช่ไปละตอนโน้น แต่ละไปเรื่อยๆ สิ่งที่จะละได้ก็ต้องเข้าใจจริงๆ จึงสามารถละได้


    หมายเลข 10183
    29 ธ.ค. 2566