เกิดมาหลงวนในโลกของนิมิต


    เราอยู่ในโลกของการเห็นสิ่งที่เกิดดับ โดยเป็นนิมิตให้ปรากฏ เป็นการสืบต่อเหมือนกับว่าสิ่งนั้นไม่ได้ดับเลย แค่นี้คะ ต้องไตร่ตรองไหมคะ ต้องคิดไหมคะ  เกิดมาแล้วก็อยู่ในโลกของนิมิตทั้งหมดเลย ในพระไตรปิฎกจะใช่คำว่า รูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิต ตรงตามความเป็นจริง คือว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับเร็วจนกระทั่งปรากฏเพียงนิมิตของสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วสืบต่อกัน

    ขณะที่ฟัง  มีจิตของใครบ้างไหมคะที่ไม่เกิดดับ ไม่มี แต่ยังไม่ประจักษ์ เพราะฉะนั้นการฟังจะทำให้เรารู้ว่า เราเข้าใจธรรมแค่ไหน แล้วจะต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมนั้น จะเป็นอื่นไม่ได้ จะไปตรัสรู้ความจริงของสิ่งอื่น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏไม่ได้เลย พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่เหมือนธรรมดาอย่างนี้แหละทุกวันๆ แต่คนอื่นไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น เช่นเห็นไม่ได้รู้เลยว่า ลักษณะของจิต ไม่ใช่เรา เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ต้องฟังจนกระทั่งเป็นสัญญาความจำที่มั่นคง เพราะว่าทุกวันนี้หรือแม้ขณะนี้ แม้ว่าใครได้ฟังธรรมมานาน ๑๐ ปี หรือ ๒๐ ปี นะคะ แต่ก็ลืมอะไรคะ กำลังลืมอยู่หรือเปล่าคะ ลืมรู้ว่าขณะนี้กำลังเป็นธรรม ลืมเสมอคะ ฟังไปเข้าใจไป แล้วก็ลืมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจำได้อย่างมั่นคง ที่มั่นคงก็มีสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า มั่นคงนะคะ คือขณะนั้นกำลังรู้ตรงลักษณะของสิ่งนั้น เพื่อเข้าใจยิ่งขึ้น แต่ถ้าไปทำอย่างอื่น หรือคิดอื่น ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ  พระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เหมือนใคร   แล้วก็จะน้อยกว่าใครไม่ได้เลย มีแต่ว่าใครก็ไม่เสมอเหมือนปัญญาของพระองค์ เพราะเหตุว่าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งรู้ยาก แม้ว่ามีจริง ด้วยเหตุนี้ก็ต้องเป็นผู้ที่อดทน

     


    หมายเลข 3923
    26 ส.ค. 2558