อธิษฐานเพื่อพระนิพพาน ถูกต้องไหม


    ผู้ฟัง ในขณะที่เราให้ทานหรือบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ประการใดประการหนึ่งอยู่ เราก็มีจิตอธิษฐานถึงพระนิพพานเป็นไปได้ไหม และก็ควรจะมีโยนิโสมนสิการอย่างไร

    ท่านอาจารย์ นิพพานอยู่ที่ไหนที่จะถึง

    ผู้ฟัง นิพพาน หมายถึงสภาวะที่ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรมหนึ่งซึ่งไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าปัญญาไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏก่อน จะสามารถรู้นิพพานไม่ได้เลย ต้องมีความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง แล้วในการอธิษฐานเพื่อพระนิพพานเป็นอย่างไร ถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร เราสามารถที่จะรู้ไหมว่าสิ่งที่เราต้องการนั้น ที่เราหวัง และอธิษฐานจะเป็นไปในลักษณะใด

    ผู้ฟัง แล้วความเข้าใจพระนิพพานว่าเป็นสภาวะที่ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏฏสังสารนี้ก็ยังไม่พอ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าจิตรู้แจ้งในลักษณะของนิพพานเมื่อไหร่ สามารถที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท กิเลสนั้นๆ จะไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นเคยคิดเรื่องที่ว่าเรามีกิเลสมาก แล้วทำยังไงกิเลสจะลดลงไปได้หรือเปล่า เพราะว่าเรื่องของการที่จะถึงนิพพานโดยที่ว่าไม่มีการเกิดอีก ต้องเป็นการดับกิเลสหมด ไม่ใช่ทั้งๆ ที่ยังมีกิเลสหรือความไม่รู้ก็สามารถที่จะรู้แจ้งลักษณะของนิพพานได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าเรามีกิเลสมาก และก็หนทางที่จะละกิเลสมีหรือเปล่า ถ้าไม่มีหนทางที่จะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ละ ก็ถึงนิพพานไม่ได้ ก็เป็นแต่เพียงความคิด เป็นแต่เพียงความหวังโดยที่ว่ายังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่านิพพานนั้นคืออะไร และเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนถามท่านอาจารย์ ที่ท่านอาจารย์ถามว่าแล้วนิพพานอยู่ไหน อยากให้อาจารย์ให้ความกระจ่างด้วย

    ท่านอาจารย์ สนใจเรื่องอกุศลไหม อยากจะไม่มี หรืออยากจะลดน้อยลงได้ สนใจที่จะลดน้อยลงได้นะ แต่เราหรือตัวตนไม่สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นได้เลย ต้องเป็นหน้าที่ของปัญญา ที่มีความเห็นถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรม ค่อยๆ อบรมเจริญขึ้นที่จะรู้ว่า ไม่มีเรา หรือว่าไม่มีตัวตน สภาพธรรมแต่ละอย่างก็มีกิจหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ เช่นปัญญา เป็นสภาพที่เห็นถูก เข้าใจถูก ในอะไร ถ้ายังไม่รู้ เราก็ไปหลงใช้คำว่าปัญญา โดยที่ขณะนั้นไม่ใช่ปัญญาเลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็ต้องศึกษาให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ตื่นเต้น กับคำอะไรที่ได้ยินแล้วไม่รู้ แต่จะต้องค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเสียก่อน แล้วถึงจะรู้ว่า การจะถึงนิพพาน หรือว่ามีการประจักษ์แจ้งนิพพานนั้นมีประโยชน์อะไร ถ้ายังไม่รู้เลยก็เป็นแต่เพียงความคิดเรื่องสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรด้วย แล้วก็หวังจะได้ หรือว่าหวังจะถึง ซึ่งก็ไม่มีวันจะถึงได้ด้วยความไม่รู้

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่ทราบความกระจ่างของนิพพาน ต้องการให้อาจารย์ให้ความกระจ่าง

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่มีจริงๆ จิตมี เจตสิกมี รูปมี นิพพานมี ต้องรู้สิ่งที่มีที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก่อน จึงสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของนิพพานได้

    ด้วยความไม่รู้ในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วว่าจะไปเข้าใจนิพพานเป็นไปไม่ได้เลย เป็นแต่เพียงชื่อที่ได้ยินเท่านั้นเอง ทำไมสนใจนิพพาน

    ผู้ฟัง ผมฟังมาว่าในการประกอบบุญกิริยาวัตถุ ก็สามารถอธิษฐานระลึกไปถึงพระนิพพานได้ ก็เลยอยากจะทราบว่ามันจะมีโยนิโสมนสิการอย่างไร แล้วก็ถูกต้องหรือไม่

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ มีความคิดว่ายังไง

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็มีความคิดว่า นิพพานยังเกินวิสัยในขณะนี้ แต่ว่ากุศล อกุศลนี่รู้ได้ ก็ค่อยๆ สะสมไป

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นหนทางละ ที่จะทำให้ถึงนิพพาน เพราะว่าการที่จะรู้แจ้งนิพพานได้มีหนทางเดียว คือละความติดข้อง ในความเห็นผิดก่อน แล้วก็ละความติดข้องในอย่างอื่นไปจนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์

    กุล. ซึ่งก็ตรงกับที่เราสนทนากันมาถึงธรรมที่เป็นเครื่องเนิ่นช้า ตั้งแต่ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ที่เราสนทนากันมา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วย เพราะว่าโลภะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และเราก็คงไม่ปฏิเสธว่าโลภมูลจิตมีอยู่กับเราในชีวิตประจำวัน แต่ขณะใดที่เกิดร่วมกับความเห็นผิด หรือขณะใดที่มีมานะเกิดร่วมด้วยหรือขณะใดเป็นแค่โลภมูลจิตที่เกิดในชีวิตประจำวันที่เพียงแต่ติดข้องในอารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นอันนี้ก็คือสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ แต่เราก็ต้องรู้ถึงความต่างกันระหว่าง ขณะใดที่เกิดร่วมกับความเห็นผิด หรือขณะใดที่เกิดร่วมกับมานะซึ่งเป็นความสำคัญตน หรือขณะใดก็เป็นเพียงแต่ความติดข้องในอารมณ์ต่างๆ ซึ่งก็คือสิ่งที่เราควรที่จะรู้แล้วก็ศึกษาในขณะนี้

    ธี. นิพพานเป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลส เพราะฉะนั้นการที่จะดับกิเลสได้ ก็คือดับความไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้นี่เอง ถ้าไม่สามารถที่จะดับกิเลสในขณะนี้ได้ที่ไม่รู้ความเป็นจริงก็จะไปรู้พระนิพพานไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาไป

    วิ. สภาพของนิพพาน ก็เป็นการสิ้นไปของตัณหา การเริ่มที่จะเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริง ก็เป็นการที่จะค่อยๆ ละความติดข้อง ความพอใจในความเห็นผิดต่างๆ อันนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะค่อยๆ ดำเนินถึงการสิ้นไปของอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุว่าพระอรหันต์ เป็นผู้ที่ดับกิเลสทั้งหมด แต่ว่ายังมีขันธ์เหลืออยู่ เพราะฉะนั้นการดับไปของกิเลสก็เป็นกิเลสนิพพาน ก็คือการสิ้นไปของกิเลสทั้งหลาย ส่วนการดับรอบทั้งหมดก็คือขันธปรินิพพาน ก็คือหลังจากที่จุติจิตของพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่มีปัจจัยที่จะให้จิตดวงใดเกิดสืบต่ออีก ก็เป็นขันธปรินิพพาน

    อ.อรรณพ ถ้ามีความหวัง ความต้องการในนิพพาน ให้ทราบว่า เป็นเพียงการหวังชื่อเท่านั้น แล้วเรามีความเข้าใจว่าพระนิพพานจริงๆ คืออะไร ถูกต้องแล้วหรือเปล่า เพราะนิพพานก็คือ สภาพที่ไม่เกิดไม่ดับ แต่จริงๆ แล้วในขณะที่สติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็คือสิ่งที่ควรที่จะรู้ ไม่ว่าจะเป็นมานะ ไม่ว่าจะเป็นโลภะที่กำลังปรากฏ สามารถรู้ตามความเป็นจริง หรือรูปหนึ่งรูปใด นามหนึ่งนามใดที่กำลังปรากฏ ในขณะนั้นเดินทางเข้าใกล้นิพพานไปทีละนิดๆ ไปในตัวแล้ว

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 136


    หมายเลข 9232
    26 ม.ค. 2567