พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมด ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่ปรากฏเป็นไปในชีวิตประจำวัน การที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมนั้น ก็เพื่อให้พุทธบริษัทมีความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลัง-ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่เข้าใจผิด ไม่หลงผิดไปยึดถือในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล เพราะแท้ที่จริงแล้ว สภาพธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคล ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีความอาจหาญ มีความเพียร มีความตั้งใจที่จะศึกษา ที่จะฟังพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา ไตร่ตรองตามเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไป จากความไม่รู้ก็จะค่อยๆ รู้ขึ้นไปตามลำดับ เมื่อมีความเข้าใจก็จะมีความเบิกบาน ผ่องใส ตามกำลังของความเข้าใจ ไม่เดือดร้อน เพราะขณะที่เข้าใจนั้นเป็นปัญญา เป็นกุศล ขณะที่กุศลจิตเกิดย่อมร่าเริง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อนุโมทนาทั้งคำตอบและคำถามนะคะ ได้ยินบ่อยๆ แต่หลงลืมสติบ่อยกว่าค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับบุคลให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ดังนั้นคำว่าอาจหาญ ร่าเริงในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่า(อิติวุตตกะ หน้า 660)
(อาจหาญ)บทว่า สมุตฺเตชกา ความว่า ทำจิตของบุคคลทั้งหลายผู้ดำรงอยู่ในกุศล
ธรรมอย่างนี้ให้อาจหาญด้วยดี ด้วยการแนะนำในการบำเพ็ญอธิจิตขั้นสูงขึ้นไป คือทำ
จิตของเขาให้ผ่องใสด้วยการพิจารณา โดยประการที่เขาจะบรรลุคุณวิเศษได้
อาจหาญเพราะบุคคลนั้นฟังคำสอนแล้ว เกิดจิตผ่องใสอันเนื่องมาจากปัญญาเกิด
และเข้าใจว่าสามารถไปถึงการบรรลุได้ด้วยหนทางนี้คือเข้าใจความจริงของสภาพ-
ธรรมที่มีในขณะนี้ในชีวิตประจำวัน ไม่มีหนทางอื่นและอาจหาญว่าเป็นหนทางที่จะนำ
ไปสู่การดับกิเลสด้วยการเจริญขึ้นของปัญญา เมื่อเข้าใจหนทางก็ย่อมอาจหาญที่จะ
ไปสู่หนทางนั้น ไม่ท้อถอย อดทนที่จะฟังพระธรรมต่อไปครับ
(ร่าเริง) บทว่า สมฺปหสกา ความว่า ทำจิตของบุคคลเหล่าอื่นนั้นให้ร่าเริงด้วยดี
ด้วยคุณวิเศษตามที่ได้แล้ว และที่จะพึงได้ในขั้นสูง คือ ทำจิตของเขาให้ยินดีด้วยดี
ด้วยอำนาจความพอใจที่ได้แล้ว. ร่าเริงเพราะได้ฟังธรรมแล้วเกิดความเข้าใจถูก หรือ ขณะที่สติปัฏฐานเกิด รู้ความจริง
ของสภาพธรรมที่มีในขณะนั้น ซึ่งทำให้เกิดความยินดี ร่าเริง และรู้ว่าหนทางนี้ถูก สามารถนำไปสู่การดับกิเลสได้ จึงร่าเริงเพราะเข้าใจพระธรรมในขณะจิตนั้น
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของปัญญาเมื่อปัญญาเกิดเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีใน
ขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เ มื่อรู้ความจริง ย่อมอาจหาญ ร่าเริงเพราะรู้ความจริง
อาจหาญที่จะอบรมเจริญปัญญาต่อไป ร่าเริงเพราะเข้าใจถูกในความจริงของสภาพ
ธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขอให้ทุกท่านอาจหาญ ร่าเริงกับหนทางนี้คือการเข้าใจ
ความจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราในชีวิตประจำวัน(เมื่อปัญญาเกิด) ขออนุโมทนาครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
คำว่า " ให้อาจหาญ " คือให้เกิดความอุตสาหะในการรู้สภาพธรรมถูกต้องยิ่งๆ ขึ้น
การที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นั้นไม่ใช่จะเป็นไปได้ง่ายๆ และรวดเร็ว
แต่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้นเพื่อให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้เกิดความ
เพียรที่จะพิจารณาจนกว่าจะเข้าใจ จนกว่าสติจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมจน
กว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎตามปรกติตามความเป็นจริง
คำว่า " ร่าเริง " คือให้ผ่องใส ให้รุ่งเรือง ด้วยคุณที่ตนแทงตลอดแล้ว
ฉะนั้น เมื่ออบรมเจริญสติปัฎฐาน ก็จะเข้าใจถึงความหมายของคำว่า ให้ร่าเริง คือให้
ผ่องใสและให้รุ่งเรืองด้วยคุณที่ตนแทงตลอดแล้ว คือสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะ
ของสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
เพราะฉะนั้น การที่จะละคลายสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ต้องเป็นปัญญา
ที่พิจารณา ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎตามปรกติในชีวิตประจำวัน อาจหาญ
ร่าเริงที่จะรู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฎนั้นเป็นเพียง รูปธรรม และ นามธรรม เท่านั้น
แม้แต่กุศลจิต อกุศลจิตที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงสภาพธรรมเท่านั้น
จนกว่า
จะไถ่ถอนการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ นี่คือการ
ที่สติปัฎฐานจะค่อยๆ เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในชีวิตประจำวัน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมต่างๆ ก็มีความ "อาจหาญ" ที่จะดำเนิน
ชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง ด้วยการเจริญสติปัญญา เจริญกุศล และประพฤติปฏิบัติตามคำสั่ง
สอนของพระพุทธองค์ต่อไป เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นจนกว่าปัญญาจะประจักษ์แจ้งตาม
ความเป็นจริง....
ซึ่งจะเกื้อกูลให้มีความ"อาจหาญ" ที่จะเป็นผู้ตรงต่อตัวเองว่าเป็นผู้มีทั้งกุศลหรือ
อกุศลมากกว่ากัน มีความ "อาจหาญ" ที่จะไม่นำชีวิตให้ถูกชักจูงไปในอกุศลต่างๆ ตาม
ความนิยมของสังคมและสภาพแวดล้อม มีความ "อาจหาญ" ที่จะหลีกเลี่ยงการคลุก
คลีกับผู้มีความเห็นผิด และอส้ตบุรุษทั้งหลาย มีความ "อาจหาญ" ที่จะรับฟังคำแนะนำ
ของกัลญาณมิตรทั้งหลาย และ "อาจหาญ" ที่จะเป็นกัลญาณมิตรแก่บุคคลอื่นด้วยตาม
เหตุตามปัจจัย.....
เมื่อจิตเป็นกุศล ก็ทำให้ "ร่าเริง" เพราะจิตผ่องใสจากอกุศลธรรมต่างๆ ทำให้
"ร่าเริง" เพราะได้รับคุณค่าและประโยชน์จากความเข้าใจสภาพธรรมในขั้นต่างๆ ...
ทั้งนี้ความ "อาจหาญร่าเริง" ก็คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วย
โสภณเจตสิกประเภทต่างๆ เป็นปัจจัยให้เกิดความเพียรพิจารณาให้เข้าใจสภาพความ
เป็นจริงโดยไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบทั้งภายนอกและภายใน.....
ขออนุโมทนาค่ะ....
คนที่มีปัญญา ฟังธรรมเข้าใจ ขณะนั้นชื่อว่าอาจหาญร่าเริง ขณะทีสติปัฏฐานเกิดชื่อ
ว่าอาจหาญร่าเริง ส่วนคำว่าได้ยินแล้วคิดก็เป็นธรรมดาของจิต ถ้าไม่คิดก็ไม่ได้ แม้
แต่พระอริยบุคคลจนถึงพระอรหันต์ได้ยินแล้วก็คิดเหมือนกัน แต่ต่างกันที่จิตของพระ
อรหันต์ท่านไม่เป็นกุศล อกุศล แต่ปุถุชนได้ยินแล้วคิดเป็นกุศลหรืออกุศลเท่านั้นค่ะ
คิดว่า... เข้าใจธรรมะ เท่าไรก็เท่านั้น
ไม่ควรเสียใจ การมีโอกาสได้ฟังและเข้าใจแม้น้อยนิดก็ควรยินดีร่าเริงในธรรมนั้น
เพื่อความไม่เป็นผู้ย่อหย่อนท้อถอยในการฟังธรรมต่อไป ต่อๆ ไป
ขออนุโมทนาค่ะ
อาจหาญ ร่าเริง ไม่ใช่เพียงฟังแล้วให้เราไปคิดว่า จะเป็นตัวเราที่อาจหาญ ร่าเริงแต่ความจริง คือ เมื่อใดที่ปัญญาเกิด โสภณธรรมอื่นๆ ก็เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่หวั่นไหวเกิดความแกล้วกล้า มุ่งมั่น โสมนัสยินดี เบิกบาน ผ่องแผ้ว ที่ได้รู้ความจริงของธรรมะตรงตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้...ขออนุโมทนาครับ...
"อาจหาญ ร่าเริง"
ตอนนี้ คิดถึง.... คุณ บุษบงรำไพ พึงบุญ ณ อยุธยา พลวัฒน์
เธออาจหาญ ร่าเริง ด้วยความเข้าใจในพระธรรมจริงๆ
อนุโมทนา..ค่ะ
คำว่า "ไม่เพียร" จากคำว่า "ไม่พัก ไม่เพียร" มีความหมายอย่างไรคะ
ขออนุโมทนาค่ะ
คำนี้ความหมายถึงการอบรมเจริญสติปัฏฐานหมายถึง ทางสายกลางหมายถึง มรรคมีองค์ ๘.
ข้อความโดยละเอียดจากพระพุทธพจน์มีอยู่ในพระไตรปิฏก.
ขอความกรุณาสหายธรรมท่านอื่นเกื้อกูลด้วยนะคะ.
..........................อนุโมทนา
คำว่า "ไม่เพียร" จากคำว่า "ไม่พัก ไม่เพียร" มีความหมายอย่างไรคะ
ขออนุโมทนาค่ะ
คลิกอ่าน .. โอฆตรณสูตร ว่าด้วยการข้ามโอฆะ
ในอรรถกถา (หน้า 37) ได้แสดงความหมายของคำคู่นี้ ไว้หลายนัย
ผมขอยกนัยหนึ่งที่เข้าใจได้ง่าย มาแสดงดังต่อไปนี้
อนึ่ง ว่าด้วยกามสุขัลลิกานุโยค เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม.
ว่าด้วยอัตตกิลมถานุโยค เมื่อเพียรชื่อว่า ย่อมลอย.
โดยนัยนี้ ไม่พัก ไม่เพียร คือ เดินตามทางสายกลาง อริยมรรค มี
องค์แปด
ขออนุโมทนาครับ
ขอเสริมความเห็นที่ ๒๒ ค่ะที่สุด คือ อันตา ๒คือข้อปฏิบัติหรือการดำเนินชีวิตที่เอียงสุด
ผิดพลาดไปจากทางอันถูกต้อง คือ มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลางคือมรรคมีองค์ ๘การพัก คือ กามสุขัลลิกานุโยค หมายถึงการหมกมุ่นอยู่ในกามสุข.
การเพียร คือ อัตตกิลมถานุโยค หมายถึงการประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตนเองบีบคั้นตนเองให้เดือดร้อน.
การพัก และการเพียร จึงไม่ใช่ทางสายกลาง คือ ทางพ้นทุกข์(มรรคมีองค์ ๘)โดยนัยนี้ค่ะ.