เพราะไม่รู้จึงเป็นเราเห็น

 
คุณย่า
วันที่  2 พ.ค. 2551
หมายเลข  8524
อ่าน  1,382

สนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม
ที่มูลนิธิฯ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พ.ย. ๒๕๕๐

อรวรรณ ดูเหมือนว่ามีเราไปฟังเรื่องราวของธรรมะ ก็ดูเหมือนจะเป็นเครื่องกั้นที่จะทำให้ไม่สามารถเข้าใจลักษณะของธรรมะที่ฟัง

อาจารย์ ขณะนี้ไม่ต้องคิดถึงว่ามีเราค่ะ มีสิ่งที่ปรากฏแล้ว กำลังฟัง เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ

อรวรรณ ไม่ต้องคิดถึงว่ามีเรา

อาจารย์ ขณะนี้มีใครคิดว่ามีเราบ้าง กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา

อรวรรณ แทบจะไม่ต้องคิด แต่เป็นเราโดยอัตโนมัติ

อาจารย์ อะไรเป็นเราคะ

อรวรรณ เห็นเป็นเราค่ะ

อาจารย์ เห็นเป็นเรา จึงต้องฟังเรื่องเห็น จนกว่าจะเข้าใจขึ้นว่า เห็นเป็นธรรมะ นี่ขั้นฟังค่ะ “สัจญาณ” ปัญญาขั้นที่ฟังแล้วเข้าใจสัจจะ ความจริงของสัจธรรม ที่เกิดดับไม่ใช่ขณะอื่น แต่ขณะที่เกิด แล้วปรากฏ แล้วดับ แต่ยังไม่รู้ทั้งการเกิดการดับ แต่มีสัจธรรมที่เกิดปรากฏให้เห็น แม้จิตที่เห็น ก็ต้องฟังจนกระทั่งรู้ว่า เป็นธาตุหรือเป็นธรรมชาติ ซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ มีใครเลือกให้จิตเห็นได้ ไม่ได้ค่ะ ชัดๆ อยู่แล้วว่าเป็นอนัตตา ก็ไม่รู้ แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้นี้มากมายมหาศาลระดับไหน อย่าไปคิดเรื่องละ เรื่องการประจักษ์แจ้งแทงตลอดลักษณะของสัจธรรม โดยไม่รู้ไม่เข้าใจแม้ขั้นการฟัง เพราะฉะนั้น การฟังต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ในสิ่งที่มี ที่ปรากฏ ที่กำลังฟังให้เข้าใจในความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะไม่รู้จึงเป็นเราเห็น แต่ถ้ารู้ว่าเห็นมีและเห็นก็เป็น “ธาตุ” ชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างกับธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
คุณย่า
วันที่ 2 พ.ค. 2551

ชื่อที่มีจริงมีลักษณะที่ต่างกัน เป็น ๒ อย่าง แต่ไม่ใช่เอาชื่อมาก่อน เดี๋ยวนี้เองที่กำลังเห็น ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลย สิ่งที่กำลังปรากฏทางตานี้ มี กำลังเห็นสิ่งนี้ปรากฏลักษณะกับจิต ซึ่งเห็นแจ้งว่า ลักษณะนี้ไม่เป็นอย่างอื่น นอกจากเป็นอย่างนี้แหละ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งใครก็สร้างขึ้นไม่ได้ ทำไม่ได้ ให้เกิดก็ไม่ได้แต่มีปัจจัยที่จะต้องเกิดขึ้นก็เกิด เพราะฉะนั้น กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็บังคับไม่ได้ แต่ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่สามารถที่จะคิด ไม่สามารถที่จะจำเพราะฉะนั้น ก็เป็นประเภทธรรมชาติ ที่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ จากสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ที่ปรากฏ ไม่ใช่เอาชื่อมาก่อน ยังไม่เรียกอะไรเลย แต่สิ่งที่ปรากฏไม่สามารถที่จะคิด โกรธ เสียใจ ดีใจ เพียงมีลักษณะอย่างนี้ให้เห็นว่าธาตุนี้มี ส่วนสัญญาที่กำลังเห็น ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น จะเพียรไปแสวงหากลิ่น หารส หาอ่อน หาแข็งจากอาการรู้ ธาตุรู้ ลักษณะรู้ซึ่งเป็น นามธรรม โดยไม่มี รูปธรรมใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น แต่เป็นธาตุที่เป็นอาการรู้ ลักษณะรู้ สามารถที่จะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อมีการเห็นเมื่อไร ให้รู้ว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเห็น เห็นอะไร? ก็เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ฟังจนกระทั่ง มีความเข้าใจที่มั่นคงเป็น " สัจจญาณ ” จะเป็นปัจจัยให้มีการรู้ตรงสัญญาที่เป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่มีรูปร่างเลยแต่กำลังเห็น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
คุณย่า
วันที่ 2 พ.ค. 2551

นี่ค่ะ คือ ความไม่รู้ ต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ

ขณะนี้ ลักษณะของสัจธรรม ไม่ได้ปรากฏว่าเป็นธรรมะเพียงแต่ปรากฏลักษณะของสัจธรรม ไม่ได้ปรากฏว่าเป็นธรรมะเพียงแต่ปรากฏลักษณะ เช่น เสียง ก็ปรากฏเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางหู แต่ไม่ได้ปรากฏโดยความเป็นธาตุ หรือโดยความเป็นธรรมชาติ เพราะว่าแม้เสียงเป็นเสียง เสียงไม่รู้อะไร ไม่ต้องการให้ใครไปได้ยิน ด้วยมีปัจจัย...เสียงก็เกิด แต่การที่จะรู้ว่าเสียงเป็นธรรมะชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เพียงจิตได้ยินเกิดขึ้น จิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเสียง ไม่รู้อะไรเลย...นอกจากได้ยินเสียง นั่นก็เป็นธาตุหรือเป็นธรรมะ แต่ขณะที่กำลังฟังนี้ เข้าใจ ก็เป็นธรรมะ

แล้วก็ไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้เฉพาะเสียง ซึ่งเป็นจิตที่ได้ยินเสียง แต่เป็นสัญญาที่สามารถเข้าใจถึงลักษณะของธาตุที่กำลังได้ยินเสียง ซึ่งต่างกับเสียงที่ปรากฏ ถ้าไม่ฟังให้เข้าใจจริงๆ ก็ไม่ได้ฟังธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะ เป็นเรื่องจำนวน เป็นเรื่องชื่อ เป็นเรื่องอะไร บางคนก็หาชื่ออย่างท่านหนึ่ง ท่านก็ได้ฟังครูบาอาจารย์ของท่านเป็นชาวต่างประเทศ แล้วก็กล่าวว่า ท่านต้องการรู้ความจริง คือ “ นิพพาน ” เหมือนกับอย่างอื่นนะ ไม่จริงแต่ต้องการรู้ความจริง คือนิพพาน เพราะฉะนั้นก็คิดว่าสิ่งที่มีในชีวิตทั้งหมดนี้ ไม่จริง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
คุณย่า
วันที่ 2 พ.ค. 2551

นั่นก็เป็นเรื่องที่จะกล่าวคำใดก็ได้ แต่ต้องรู้ว่าหมายถึงอะไร ไม่จริง คือไม่ใช่คนจริงๆ ไม่ใช่สัตว์จริงๆ เป็นธาตุที่มีจริง แต่ละธาตุๆ เกิดขึ้นและดับไป เพราะฉะนั้นเพียงฟังเผินๆ แล้วก็คิดตาม แล้วก็เชื่อ ไปแสวงหาสิ่งที่ยังไม่มี เพราะเข้าใจว่าสิ่งนั้นแหละจริง สิ่งอื่นไม่จริงแต่ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ว่าที่ไม่จริงคืออย่างไร และที่จริงคืออย่างไร ก็ไม่มีการรู้เลยเมื่อไรจะเจอสิ่งซึ่งหวัง คือ “ นิพพาน ” เพราะไม่รู้ว่า นิพพาน ต้องต่างจากสัจธรรมที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน แล้วถ้าไม่รู้ความจริงในชีวิตประจำวัน จะสละละคลายความติดข้องที่จะไม่มีความสนใจ ต้องการสัจธรรมที่ปรากฏเพราะมีธาตุซึ่งไม่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถที่จะประจักษ์ความจริงแล้วก็ดับ การที่เคยยึดถือสัจธรรมที่ปรากฏได้ นี่ก็เป็นเรื่องของการฟัง ซึ่งจะต้องพิจารณาไตร่ตรองแล้วก็ไม่ใช่ ยิ่งฟัง ยิ่งหวัง ยิ่งฟัง ยิ่งอยากรู้ นั่นไม่ใช่เลยค่ะ ยิ่งฟัง ยิ่งจะต้องเป็นสิ่งที่จะต้องอบรม ความรู้ความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ได้ฟังจนกว่าจะรู้จริงๆ และปัญญาเท่านั้น ที่สามารถจะรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงปัญญาสามารถที่จะรู้ ลักษณะของอริยสัจได้ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญา แม้ในขั้นการฟังไม่มี ก็ไม่ต้องพูดถึงอริยสัจธรรม แม้มีจริง เป็นจริง ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยอวิชชา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 2 พ.ค. 2551

ขออนุโมทนา คุณ ถอดเทป ครับ

แต่ว่า ชื่อ " ถอดเทป " นี่ แม้จะเห็นมาหลายครั้งแล้วก็ยังรู้สึกว่า " เรา " อยู่ไกลกันอย่างไรก็ไม่รู้

ถ้าเป็น เพราะไม่รู้จึงเป็นเราเห็น (ถอดเทป) โดย ......

ก็จะอนุโมทนาได้ถนัดกว่านี้ เพราะว่า ตัวผมยังมีตัวเรา อยู่เยอะมากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
lichinda
วันที่ 2 พ.ค. 2551
แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้นี้มากมายมหาศาล
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 2 พ.ค. 2551

ละอวิชชาคือความไม่รู้ ด้วยความรู้ ด้วยการอบรมเจริญปัญญาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 2 พ.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
narong.p
วันที่ 4 พ.ค. 2551

ขออนุโมทนา ครับ

อ่านเพื่อความเข้าใจถูกในสภาพธรรม สะสมขั้นการฟังต่อไปๆ ๆ ๆ ๆ

ขันติเป็นตบะอย่างยิ่งครับท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
arin
วันที่ 5 พ.ค. 2551
ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
พาราระวี
วันที่ 8 พ.ค. 2551

จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดในชีวิตฟังธรรมะให้ได้มากทีสุดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
อิสระ
วันที่ 8 พ.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
aurasa
วันที่ 1 เม.ย. 2554

อนุโมทนาด้วยค่ะ คุณย่า และกุศลจิตของทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ