เมตตา ๓๔ - พระภูมิ พระพรหม ช่วยได้จริงหรือ - อรรถกถาพรหมเทวสูตร

 
chaiyut
วันที่  19 ต.ค. 2550
หมายเลข  5174
อ่าน  1,602

เทพยิ่งกว่าเทพ พรหมยิ่งกว่าพรหม คือ พระอรหันต์

ข้อความในสารัตถปกาสินี อรรถกถาพรหมเทวสูตร อธิบายว่า

ก็มารดาของท่านพระพรหมเทวะนั้น พอเห็นบุตรแล้วก็ออกจากเรือน ต้อนรับบุตร แล้วนิมนต์ให้เข้าไปภายในเรือน นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้แล้ว บทว่า อาหุตํ นิจฺจํ ปคฺคณฺหาติ ความว่า นางพราหมณีย่อมถวายบูชาก้อนข้าว (แก่พระพรหม) ตลอดกาลเป็นนิจ วันนั้นในเรือนนั้นมีการพลีกรรมแก่พวกภูต เรือนทั้งสิ้นปูลาดด้วยของสด เขียว เจือข้าวตอก แวดล้อมด้วยทรัพย์และดอกไม้ ยกธงชัยและธงปฏัก (ธงที่มีชายแหลม) ตั้งหม้อน้ำที่เต็มไว้ในที่นั้นๆ จุดประทีปด้ามไว้ ประดับประดาด้วยของหอม เครื่องลูบไล้และพวงดอกไม้ เป็นต้น ได้มีแว่นเวียนเทียนถือส่งต่อกันไปโดยรอบนางพราหมณีแม้นั้นลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ แล้วอาบน้ำหอม ๑๖ หม้อ ตกแต่งร่าง-กายด้วยเครื่องประดับพร้อมสรรพ ในครั้งนั้น นางนิมนต์พระขีณาสพนั่งแล้วไม่ได้ถวายข้าวยาคูแม้แต่ทัพพีหนึ่ง คิดว่า เราจักเลี้ยงดูมหาพรหม จักให้มหาพรหมบริโภคดังนี้ แล้วจึงบรรจุถาดทองคำให้เต็มด้วยข้าวปายาสปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวด เป็นต้น ที่หลังเรือนนางประดับพื้นที่ด้วยของสดเขียว นางถือถาดนั้นไปในที่นั้น วางก้อนข้าวปายาสไว้ตรงมุมทั้ง ๔ ก้อนละมุม แล้วถือข้าวปายาสไว้ในมือ มีเนยใสไหลลงถึงข้อศอกแล้วคุกเข่าลงบนพื้น กล่าวอัญเชิญพรหมให้บริโภคว่า "ขอเชิญท่านมหาพรหมผู้เจริญจงบริโภค ขอท่านมหาพรหมจงมานำไป ขอท่านมหาพรหมผู้เจริญจงอิ่มหนำ" ดังนี้

บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ความคิดเช่นนี้ได้มีแล้ว แก่ท่านท้าวสหัมบดีพรหมผู้สูดกลิ่นศีลของพระมหาขีณาสพซึ่งได้ท่วมท้นเทวโลก ฟุ้งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก (กลิ่นทั้งหลายในโลกมนุษย์ไม่ถึงพรหมโลกนอกจากกลิ่นศีล คือ กลิ่นของคุณธรรมของผู้ที่ทรงความเป็น พระอรหันต์)

บทว่า สํเวเชยฺยํ ได้แก่ พึงตักเตือน คือ พึงให้ประกอบในสัมมาปฏิบัติ อธิบายว่า จริงอยู่ นางพราหมณีนั้นให้พระขีณาสพผู้เป็นอัครทักขิเณยบุคคลเห็นปานนี้นั่งแล้ว มิได้ถวายอาหารแม้เพียงข้าวยาคูกระบวยหนึ่งคิดว่า เราจักให้มหาพรหมบริโภค ดุจทิ้งตาชั่งเสียแล้วใช้มือชั่ง ดุจทิ้งกลองเสียแล้วประโคมท้อง ดุจทิ้งไฟเสียแล้วเป่าหิ่งห้อย เที่ยวทำพลีแก่ภูต เราจักไปทำลายมิจฉาทิฏฐิของนาง ยกนางขึ้นจากทางอบาย จะกระทำโดยวิธีให้นางหว่านทรัพย์ ๘๐ โกฏิลงในพระพุทธศาสนาแล้วขึ้นสู่ทางสวรรค์

บทว่า ทูเร อิโต ความว่า ไกลจากที่นี้ จริงอยู่ ก้อนศิลาขนาดเท่าเรือนยอดตกจากพรหมโลก วันหนึ่งคืนหนึ่งสิ้นระยะทาง ๔๘,๐๐๐ โยชน์ ใช้เวลาถึง ๔ เดือนโดยทำนองนี้ จึงตกถึงแผ่นดิน พรหมโลกชั้นต่ำกว่าพรหมโลกอื่นๆ ทั้งหมดอยู่ไกลอย่างนี้

บทว่า ยสฺสาหุติ ความว่า โลกของพรหม ที่นางพราหมณีบูชาด้วยก้อนข้าวอยู่ไกล

ในบทว่า พฺรหฺมปถํ นี้ แปลว่า ทางของพรหม กุศลฌาน ๔ ชื่อว่าทางของพรหม ส่วนวิบากฌาน ๔ ชื่อว่าเป็นทางดำเนินชีวิตของพรหมเหล่านั้นเธอไม่รู้ทางของพรหมนั้น กระซิบอยู่ทำไม เพ้ออยู่ทำไม จริงอยู่ พรหมทั้งหลายย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปด้วย "ฌาน" ที่มีปิติ หาใช่ด้วยข้าวสารแห่งข้าวสาลี และเคี้ยวกินน้ำนมที่เคี่ยวแล้วไม่ ท่านอย่าลำบากเพราะสิ่งที่ไม่ใช่เหตุเลย ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงประคองอัญชลีแล้วย่อตัวเข้าไปชี้พระเถระอีกกล่าวว่า ดูกร นางพราหมณี ก็ท่านพระพรหมเทวะของท่านนี้หมดอุปธิกิเลส ถึงความเป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ถึงความเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกังวล มีปรกติขอ ไม่เลี้ยงดูผู้อื่น ท่านพระพรหมเทวะที่เข้าสู่เรือนของท่านเพื่อบิณฑบาตเป็นผู้สมควรแก่บิณฑะที่บุคคลพึงนำมา บูชา

การที่จะเกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมโลกได้ ก็ต้องด้วยเหตุ คือการอบรมเจริญสมถภาวนาบรรลุกุศลฌาน คือ รูปฌานหรืออรูปฌาน กุศลฌานจึงชื่อว่าทางของรูปพรหมและอรูปพรหม เมื่อปฏิสนธิแล้วผลของฌานกุศลทำให้ดำรงความเป็นพรหมอยู่จนกว่าจะสิ้นเหตุ (ฌานกุศลกรรมนั้น) จึงจุติ ฉะนั้น พรหมจึงไม่ต้องบริโภคอาหาร ไม่ต้องหายใจ รูปพรหมมีรูปที่ละเอียดมาก ไม่ต้องอาศัยอาหารเป็นคำอย่างในมนุษย์โลก และไม่ต้องมีทุกข์อันเกิดจากลมหายใจ ส่วนอรูปพรหมนั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปใดๆ เลย

ข้อความที่ว่า ท่านพระพรหมเทวะเป็นผู้หมดอุปธิกิเลส ถึงความเป็นอติเทพ (ยิ่งกว่าเทพทั้งหลาย) พระอรหันต์ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกังวล มีปกติขอ ไม่เลี้ยงดูผู้อื่น

เมื่อกล่าวถึงผู้ที่ไม่เลี้ยงดูผู้อื่น โดยมากทุกท่านก็คิดถึงพระภิกษุทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีอาชีพที่จะเลี้ยงดูผู้อื่น แต่ความหมายของ "ไม่เลี้ยงดูผู้อื่น" คือไม่ก่อให้เกิดขันธ์อื่นอีกในภพต่อๆ ไป เพราะฉะนั้นเมื่อบุคคลใดยังมีกิเลสอยู่ ชื่อว่ายังเลี้ยงดูผู้อื่น เพราะยังมีนามขันธ์และรูปขันธ์อื่นเกิดสืบต่อจากนามขันธ์รูปขันธ์ที่ยึดถือว่าเป็นตัวเราในขณะนี้ เมื่อกิเลสยังมี ก็ชื่อว่ายังเลี้ยงดูผู้อื่น คือขันธ์ทั้งหลายในอนาคต เพราะเมื่อสิ้นชีวิต คือจุติจิตดับแล้วก็จะต้องเกิดอีก มีนามขันธ์และรูปขันธ์อื่นเกิดสืบต่อจากขันธ์นี้ ฉะนั้นจึงชื่อว่า "เป็นผู้เลี้ยงดูผู้อื่น"

ฉะนั้น พรหมเทวสูตร คงจะตอบปัญหาของท่านที่ถามว่า ในเมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น เจ้าที่ พระภูมิ พระพรหม ท่านเหล่านี้มีจริงหรือ ช่วยได้จริงหรือ?

..จากหนังสือ "เมตตา" เปิดอ่าน --> คลิกที่นี่


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
pamali
วันที่ 30 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 3 ม.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ