หนทางเดียวที่จะรู้ความจริง

 
เมตตา
วันที่  2 ต.ค. 2568
หมายเลข  51065
อ่าน  315

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 630

[๑๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทําพระนิพพานให้แจ้ง หนทางนี้ คือสติปัฏฐาน ๔ ประการ ฉะนี้แล คําที่เรากล่าวดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัย เอกายนมรรค กล่าวแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นยินดีชื่นชมภาษิตของ พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วแล.

จบ สติปัฏฐานสูตรที่ ๑๐


ท่านอาจารย์: แต่การเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย หนทางเดียว แล้วเล็กแค่ไหนน้อยแค่ไหนในเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้สะสมมาในแสนโกฏกัปป์ เกินแสนโกฏกัปป์ นี่เป็นหนทางเดียวที่จะละความหวัง เพราะรู้ว่า ความจริงลึกซึ้ง โลกไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง

อ.ณภัทร: ลึกซึ้งมากครับ เพราะว่าสนทนา แต่ละครั้งๆ ก็จะถามว่า ก็คือเรื่องนี้ครับ เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แข็งอ่อน สีสันวรรณะ เสียง กลิ่น ก็ตรงนี้ครับแต่ก็ยังไม่ถึงลักษณะจริงๆ เป็นสิ่งที่ยากมาก

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น พอรู้ว่าลึกซึ้งแล้ว อย่างไรต่อไป?

อ.ณภัทร: ฟังพระธรรมต่อไป เป็นหน้าที่ของธรรมะที่ทำหน้าที่ของเขาครับ

ท่านอาจารย์: หนทางเดียวใช่ไหม?

อ.ณภัทร: หนทางเดียวครับ

ท่านอาจารย์: เริ่มรู้จักหนทางเดียว เอกายนมรรคโค หนทางเดียวที่จะรู้ความจริง ที่จะค่อยๆ ละลายสิ่งที่เหนียวมาก แน่นมาก ลึกมาก ดำมาก สกปรกมาก คิดดูแล้วกัน ไม่สงสัยเลยว่ากี่แสนกัปป์ ถูกต้องไหม?

อ.ณภัทร: ถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: นั่นล่ะ คือความมั่นคง สัจจบารมี ในการที่จะรู้ว่า ความจริงไม่ใช่เรา จะสามารถรู้ได้ เราจะเพียรทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วจะไปรู้ นั่นเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงแสดงบารมี ๑๐

อ.ณภัทร: ครับ ดังนั้นสภาพธรรมะที่กำลังมีในขณะนี้ ทุกขณะก็เป็นอนิจจัง ทุกขณะก็เป็นทุกขัง ทุกขณะก็เป็นอนัตตา

ท่านอาจารย์: แต่ยังไม่รู้แต่ละหนึ่ง

อ.ณภัทร: ใช่เลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็เพียงพูดว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ก็เริ่มรู้ว่า ไม่ใช่ใครจะไปทำอะไรให้เกิด แต่สิ่งที่เกิดมีปัจจัยเกิดแล้วดับ อนิจจัง

ทุกขัง เกิดมาทำไม เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลยเหมือนก่อนเกิด เกิดมาทำไม ทุกข์หรือสุข?

อ.ณภัทร: ดังนั้น การที่ปัญญาจะเห็นอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ ไตรลักษณ์ครับ ต้องเป็นปัญญาที่มากพอสมควรที่จะเห็นลักษณะ

ท่านอาจารย์: แล้วเดี๋ยวนี้ ฟังแค่นี้เป็นปัญญาหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: ความเข้าใจเป็นปัญญาครับ

ท่านอาจารย์: รู้แค่นี้ ลองเทียบดูกับการรู้ความจริงทีละหนึ่งโดยประการทั้งปวงของสภาพธรรมะนั้นที่ปรากฏ

อ.ณภัทร: เป็นปัญญาที่ยังน้อยมากครับ

ท่านอาจารย์: นี่ล่ะ หนทางรู้ความจริงเป็นสัจจบารมี อดทนต่อไป วิริยบารมี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมั่นคงที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมะ ขันติบารมี เพื่อละ เนกขัมมบารมี มั่นคงขึ้นคืออธิษฐานบารมี และคุณความดีอื่นๆ ที่เกิดจากการที่เห็นประโยชน์ว่า อกุศลไม่ทำให้รู้ความจริง เพราะอกุศลความไม่ดีทั้งหมด และสภาพธรรมะทั้งหมดเกิดเพราะความไม่รู้

เพราะฉะนั้น ยุติการเกิดไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง

อ.ณภัทร: ยิ่งฟังก็ยิ่งซาบซึ้งในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ

ท่านอาจารย์: นี่แหละ หนทางละ ไม่ใช่หนทางอื่นเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่ต้องไปนั่งทำสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะอะไร แต่เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยที่มั่นคงขึ้นว่า ต้องรู้สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ จึงจะเป็นการเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงในสิ่งที่ปรากฏ

อ.ณภัทร: ไม่มีหนทางอื่นจริงๆ ครับ ฟังแล้วก็พิจารณาไตร่ตรองเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับครับ

ท่านอาจารย์: รู้หนทางแล้วดีกว่าไม่รู้หนทาง หรือคิดหนทางผิด แทนที่จะคิดว่าหนทางนั้นผิด และตามไป ก็จะได้รู้ว่านั่นผิ

เพราะฉะนั้น ปัญญาสามารถรู้ว่า อะไรผิด จึงรู้ว่า หนทางที่ถูกนั้นไม่ใช่หนทางที่ผิด เพราะปัญญาเข้าใจถูกเป็นหนทางที่ถูกต้อง เพราะเข้าใจ

อ.ณภัทร: ครับ ปัญญาที่รู้ในลักษณะของธาตุรู้ กับปัญญาที่รู้ในลักษณะของรูปที่ปรากฏ จะมีความแตกต่างกันอย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: ปัญญาแข็งไหม?

อ.ณภัทร: ปัญญาไม่แข็งครับ

ท่านอาจารย์: ปัญญาเค็มไหม?

อ.ณภัทร: ไม่เค็มครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพรู้ ทั้งปัญญาและสภาพรู้ ไม่รู้ไม่ได้ใช่ไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็เป็นลักษณะของสภาพรู้ที่ไม่ต้องใส่ชื่อเลย แต่ที่ต้องใช้ชื่อเพื่อแสดงให้เห็นว่า สภาพรู้ ภาวะรู้ หรือธาตุรู้ที่เกิดขึ้นหลากหลายมากตามเหตุตามปัจจัยไม่เหมือนกันเลย

ถ้ารู้ชัดเจนเดี๋ยวนี้ จะไม่มีนามรูปปริจเฉทญาณะแน่นอน ถูกต้องไหม?

อ.ณภัทร: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แต่ละคำลึกซึ้งมาก มากจนประมาณไม่ได้ ไม่ปรากฏตามความเป็นจริงแน่นอน จนกว่านามรูปปริจเฉทญาณะ ขณะนั้นไม่ต้องใช้คำอะไรเลย ปรากฏตามความเป็นจริง

อ.ณภัทร: เวลาปรากฏปัญญาที่สมบูรณ์แล้ว ก็สามารถที่จะรู้ในความเป็นนามธาตุ หรือรู้ในความเป็นรูปธาตุอย่างนั้นครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ก็เดี๋ยวนี้เห็นมี แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็มี

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: เป็นเครื่องพิสูจน์ชัดเจน

อ.ณภัทร: เป็นเครื่องพิสูจน์ชัดเจนว่า ...

ท่านอาจารย์: รู้หรือเปล่าตามความเป็นจริง ไม่มีเราเห็น ไม่มีสิ่งที่เป็นเก้าอี้ โต๊ะ อะไรเลย

อ.ณภัทร: ครับ แล้วก็ไม่ได้เจาะจงว่า จะต้องรู้สิ่งที่ปรากฏก่อน หรือว่าจะรู้ธาตุรู้ที่รู้สิ่งที่ปรากฏก่อน อันนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเป็นอนัตตาครับ

ท่านอาจารย์: ที่เคยเป็นเรา เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เหลือ เป็นแต่เพียงลักษณะที่มีจริง ปรากฏแล้วหมดไป

อ.ณภัทร: ครับ เป็นธรรมะที่เตือนให้ไม่ประมาทว่า สิ่งที่ปรากฏนี่ รู้แล้วหรือยัง แล้วก็เป็นสิ่งที่ควรรู้ เพราะว่า ถ้าไม่รู้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ก็ไม่ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะ เห็น เป็นสัจจธรรมหรือเปล่า?

อ.ณภัทร: เป็นครับ

ท่านอาจารย์: ยังไม่รู้ ประเสริฐไหม?

อ.ณภัทร: ไม่ประเสริฐครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะที่ประจักษ์แจ้งจะประเสริฐแค่ไหน?

อ.ณภัทร: ครับ ไม่ต้องคิดเลยครับ แช่มชื่น ปลาบปลื้มครับ แค่เข้าใจก็รู้สึกปลาบปลื้มโสมนัสครับ

ท่านอาจารย์: ไม่ไปทางผิดแน่นอน เพราะปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกว่า ฟังแล้วเข้าใจแค่ไหนในสิ่งที่กำลังปรากฏ

ขอเชิญอ่านได้ที่ ..

เอกายนมรรคหนทางนี้ คือสติปัฏฐาน ๔ [สติปัฏฐานสูตร]

นี่เป็น “หนทางเดียว” (เอกายนมรรค-สติปัฏฐาน)

ขอเชิญฟังได้ที่ ..

อดทนที่จะไม่ตามใจที่อยาก

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ต.ค. 2568

ที่เคยเป็นเรา เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เหลือ เป็นแต่เพียงลักษณะที่มีจริง ปรากฏแล้วหมดไป

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 3 ต.ค. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ