กิจของปัญญาคือละความไม่รู้

ผู้เป็นพหูสูต ... ทรงธรรม ... หมายถึงผู้ที่สามารถฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาจากการฟังพระธรรมแล้วสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมะสมควรแก่ธรรมมะ
เทปบันทึก (250258) รายการบัานธัมมะ
วันเสาร์ที่ 27 ก.ย. 68

สักกายทิฏฐิ หมายถึง ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่ประชุมรวมกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน

กิจของปัญญาคือละความไม่รู้ แล้วเมื่อละความไม่รู้ก็ละความติดข้องจนกระทั่งสภาพธรรมะขณะนี้ปรากฏกับปัญญา
ทำไมเดี๋ยวนี้การเกิดดับของสภาพธรรมะไม่ปรากฏเลย?! จิต เจตสิก รูปก็เกิดดับแต่ทำไมไม่ปรากฏ?! ... เพราะเหตุว่าไม่รู้ ... อวิชชาปิดบังไม่สามารถที่จะเห็นความจริงของสภาพธรรมะในขณะนี้ตามความเป็นจริง ... จนกว่าปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้น ... เข้าใจว่าขณะนี้มีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เพียงทางเดียวแค่นี้ยังไม่ถึงอย่างนั้นเลย
เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ปัญญาที่สามารถที่จะละความไม่รู้ด้วยความรู้ที่ค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ ฟังค่อยๆ ไตร่ตรองจนกระทั่งทรงจำ พิจารณาสามารถที่จะมีปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจในขณะที่กำลังเห็น รู้ความจริงว่าเห็นอะไร ... เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ... กว่าจะไม่ใช่คน ไม่ใช่วัตถุสิ่งของใดๆ ซึ่งเคยทรงจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เกิดดับจนปรากฏให้เห็นความต่างและจำไว้อย่างมั่นคง ... สักกายทิฐิ (นั่นแหละเป็นเรา) ... อัตตานุทิฏฐิ (เห็นว่าเป็นสิ่งใด)

ถ้ารู้จริงๆ ว่าขณะนี้หรือเมื่อไหร่ก็ตามจิตเห็นเกิดขึ้นที่สามารถที่จะ ทรงธรรม คือ รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ... คลายความติดข้อง ... ฟังแล้วเข้าใจไหม ... เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ... จริงหรือเปล่า?! ... ขั้นฟังจนกระทั่งมั่นคง จนสามารถเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดและรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะเพียงหนึ่งที่ปรากฏ ... ค่อยๆ สะสมจนกระทั้งค่อยๆ ละคลายการที่เคยยึดถือไว้มั่นคงมากนานแสนนานว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังเที่ยง ไม่เห็นเกิดดับเลย ... ต่อๆ ไปอีกปัญญาที่จะต้องเจริญขึ้นอีกมาก เพราะเหตุว่าอกุศลและความไม่รู้มีมาก กว่าจะหมดการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตนได้ก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้จริงตามลำดับขั้น

รากฐานสำคัญของปฎิบัติธรรมมะสมควรแก่ธรรมมะ คือ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ... เดี๋ยวนี้ปฏิบัติธรรมะสมควรแก่ธรรมมะหรือเปล่า?! ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ... จะถึงไหม?? ต้องตั้งต้นฟังด้วยความละเอียดรอบคอบ ... นี่แหละปฏิบัติธรรมะสมควรแก่ธรรมมะ!!! แต่จริงๆ ต้องเป็นวิปัสสนาญานที่ปฏิบัติธรรมะสมควรแก่การรู้แจ้งนิโรธอริยสัจจะคืนนิพพาน เพราะฉะนั้นปัญญาก็ต้องตามลำดับ
ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะทำให้ปฏิบัติธรรมะสมควรแก่ธรรมมะ (ธัมมานุธรรมะปฏิปัตติ)
ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องจริงๆ ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง แม้แต่การที่จะให้ทานเพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น ขณะนั้นก็มีปัญญาเกิดร่วมด้วยได้ตามสมควร เพราะเหตุว่าถ้าสติปัฏฐานไม่เกิดขณะนั้นและอะไรจะรู้สภาพธรรมะที่เกิดดับขณะนั้น?!
ธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงทุกอย่างทุกข้อธรรมะที่จะทำให้ไม่หลงผิดไม่เข้าใจผิด
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


