พระอรหันต์อีกรูปหนึ่ง

 
สารธรรม
วันที่  20 ก.ย. 2568
หมายเลข  50970
อ่าน  399

พราหมณ์ภารทวาชโคตรได้บรรพชา ได้อุปสมบทแล้วในสำนักของพระผู้มีพระภาค ก็ท่านพระภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษอันยอดเยี่ยมเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบมีความต้องการ ด้วยปัญญาเครื่องรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้ เข้าถึงอยู่ ได้ทราบว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แหละท่านพระภารทวาชะ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล


รับฟัง ...

พหุธิติสูตร

สำหรับผู้ที่สะสมปัญญาที่จะเกิดหิริโดยง่าย ขอกล่าวถึงข้อความใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พราหมณสังยุต อรหันตวรรคที่ ๑ พหุธิติสูตร ที่ ๑๐ ข้อ ๖๖๗ - ข้อ ๖๗๐ ซึ่งทุกท่านคงจะอยากเป็นอย่างนี้ แต่ชาติไหนจะเป็นอย่างนี้ได้ ก็ต้องสะสมไปอีกจนกว่าจะถึงชาตินั้น ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์จริงๆ

ข้อความในพระสูตรมีว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในชัฏป่าแห่งหนึ่งในโกศลชนบท ก็โดยสมัยนั้นแล โคงาน ๑๔ ตัวของพราหมณ์ภารทวาชโคตรคนหนึ่งหายไป

ครั้งนั้นแล พราหมณ์ภารทวาชโคตรเที่ยวแสวงหาโคงานเหล่านั้นอยู่ เข้าไปถึงชัฏป่านั้น ครั้นแล้วได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในชัฏป่านั้น ทรงนั่งสมาธิ ตั้งพระกายตรง ทรงดำรงพระสติเฉพาะพระพักตร์ ครั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า

โคงาน ๑๔ ตัวของพระสมณะนี้ไม่มีแน่ แต่ของเราหายไปได้ ๖๐ วันเข้าวันนี้ เพราะเหตุนั้นพระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข งาทั้งหลายอันเลวใบหนึ่งและสองใบ ในไร่ของพระสมณะนี้ไม่มีเป็นแน่ เพราะเหตุนั้นพระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข หนูทั้งหลายในฉางเปล่า ย่อมไม่รบกวนแก่พระสมณะนี้ด้วยการยกหูหางขึ้น แล้วกระโดดโลดเต้นเป็นแน่ เพราะเหตุนั้น พระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข

เครื่องลาดของพระสมณะนี้ใช้ตั้งเจ็ดเดือนไม่ดาดาษแล้วด้วยสัตว์ทั้งหลายที่ บังเกิดขึ้นเป็นแน่ เพราะเหตุนั้นพระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข หญิงหม้าย บุตรธิดา มีบุตรคนหนึ่งและสองคนของพระสมณะนี้ย่อมไม่มีแน่ เพราะเหตุนั้นพระสมณะนี้ จึงเป็นผู้มีความสุข แมลงซึ่งมีตัวอันลายไต่ตอมบุคคลผู้หลับด้วยเท้า ย่อมไม่ไต่ตอมพระสมณะนี้เป็นแน่ เพราะเหตุนั้นพระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข ในเวลาใกล้รุ่งเจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมไม่ทวงพระสมณะนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงให้ ท่านทั้งหลายจงให้ ดังนี้เป็นแน่ เพราะเหตุนั้นพระสมณะนี้จึงเป็นผู้มีความสุข ฯ

นี่เป็นชีวิตประจำวันของใครบ้างหรือเปล่า อาจจะไม่มีโคงาน ๑๔ ตัวที่หายไป ๖๐ วัน และกลุ้มใจเหมือนอย่างพราหมณ์คนนี้ และไม่ใช่ผู้ที่ปลูกผักปลูกงาที่มีใบเลว ๑ ใบหรือ ๒ ใบในไร่ และไม่มีฉางข้าวที่หนูชูหางกระโดดโลดเต้น แต่มีบ้างไหมที่แมลงซึ่งมีตัวอันลายไต่ตอมบุคคลผู้หลับด้วยเท้า หรือไม่ต้องหลับก็ได้ เพียงเท่านี้ ก็คิดถึงความสุขที่ต่างกันของผู้ที่มีกิเลสกับผู้ที่ไม่มีกิเลส ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียด

พระผู้มีพระภาคได้ภาษิตพระคาถาตอบว่า

ดูกร พราหมณ์ โคงาน ๑๔ ตัวของเราไม่มีเลย แต่ของท่านหายไปได้ ๖๐ วันเข้าวันนี้ ดูกร พราหมณ์ เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็นผู้มีความสุข ดูกร พราหมณ์ งาทั้งหลายอันเลวมีใบหนึ่งและสองใบในไร่ของเราไม่มีเลย ดูกร พราหมณ์ เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็นผู้มีความสุข ดูกร พราหมณ์ หนูทั้งหลายในฉางเปล่าย่อม ไม่รบกวนเราเลยด้วยการยกหูหางขึ้นแล้วกระโดดโลดเต้น ดูกร พราหมณ์ เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็นผู้มีความสุข

ดูกร พราหมณ์ เครื่องลาดของเราใช้ตั้งเจ็ดเดือนไม่ดาดาษเลยด้วย สัตว์ทั้งหลายที่บังเกิดขึ้น ดูกร พราหมณ์ เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็นผู้มีความสุข ดูกร พราหมณ์ หญิงหม้าย บุตรธิดา มีบุตรคนหนึ่งและสองคนของเราไม่มีเลย ดูกร พราหมณ์ เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็นผู้มีความสุข แมลงซึ่งมีตัวอันลายไต่ตอมบุคคลผู้หลับด้วยเท้าย่อมไม่ไต่ตอมเราเลย ดูกร พราหมณ์ เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็น ผู้มีความสุข ดูกร พราหมณ์ ในเวลาใกล้รุ่งเจ้าหนี้ทั้งหลายย่อมไม่ทวงเราเลยว่า ท่านทั้งหลายจงให้ ท่านทั้งหลายจงให้ ดูกร พราหมณ์ เพราะเหตุนั้นเราจึงเป็น ผู้มีความสุข ฯ

ท่านผู้ฟังเป็นอย่างไหนจึงจะเป็นผู้มีความสุข มีโค มีฉาง มีไร่ มีนา หรือว่า ไม่มีเลยจึงจะมีความสุข แล้วแต่กิเลส ฝืนกิเลสไม่ได้ ใช่ไหม ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ต้องมีนา ต้องมีโค ต้องมีฉางข้าว จึงจะมีความสุข ถ้าไม่มีจะสุขได้อย่างไร เพราะฉะนั้น แล้วแต่กิเลสจริงๆ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์ภารทวาชโคตรได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศพระธรรมโดยปริยาย เป็นอันมาก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คน หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า คนมีจักษุย่อมเห็นรูปฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระสมณโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระโคดมผู้เจริญ

สำหรับผู้ที่สะสมอัธยาศัยมาเป็นบรรพชิต ก็ประพฤติปฏิบัติการอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต แต่แม้คฤหัสถ์ไม่ได้สะสมมาที่จะเป็นบรรพชิต แต่ก็น้อมรับ อนุศาสนีโดยเคารพ คือ ประพฤติปฏิบัติตาม นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เพียงฟังและเข้าใจ แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม

พราหมณ์ภารทวาชโคตรได้บรรพชา ได้อุปสมบทแล้วในสำนักของ พระผู้มีพระภาค ก็ท่านพระภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่ง คุณวิเศษอันยอดเยี่ยมเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบมีความต้องการ ด้วยปัญญาเครื่องรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้ เข้าถึงอยู่ ได้ทราบว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แหละท่านพระภารทวาชะ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล

จบ อรหันตวรรคที่ ๑

จะคิดไหมว่า คนหนึ่งซึ่งมีโคหายไป ๑๔ ตัว มีไร่ มีนา มีฉางข้าว จะเป็นผู้ที่ได้สะสมปัญญา ความเพียร หิริโอตตัปปะมาแล้ว พร้อมที่จะบรรลุคุณธรรมเป็น พระอรหันต์ในชาตินั้น ถ้าท่านผู้ใดเห็นท่านที่มีไร่ มีนา จะทราบไหมว่าท่านผู้นั้นอาจจะสะสมปัญญามาแล้ว จะถึงขั้นไหนก็ไม่แน่ แล้วแต่โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม และมีเหตุปัจจัยที่จะให้ปัญญาเจริญในชาตินั้น ถ้าเป็นในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยัง ไม่ปรินิพพาน เป็นกาลสมบัติ เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลยว่า ใคร อาชีพไหน มีความทุกข์อย่างไร ยังมีโลภะ โทสะ โมหะอยู่ แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม การสะสมโสภณธรรมทั้งหลายที่พร้อมจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็เป็นปัจจัยทำให้เมื่อได้ฟัง พระธรรมแล้วก็น้อมปฏิบัติธรรมได้ทันที จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

เพราะฉะนั้น ทุกคนตรงต่อตัวเอง ยังไม่ต้องคิดถึงพราหมณ์ผู้นี้ แต่คิดถึงความเข้าใจธรรมในวันหนึ่งๆ และสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมในวันหนึ่งๆ และปัญญาซึ่งเกิดเพราะการพิจารณาสังเกตลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมใน วันหนึ่งๆ จนกว่าจะถึงชาติหนึ่งซึ่งจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม โดยที่ท่านจะไม่ทราบเลยว่า ในชาตินั้นท่านจะเป็นใคร จะเป็นผู้มีไร่ มีนา หรือจะเป็นคนทำอาหารอยู่ในห้องครัว และได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอนาคามี แต่ข้อสำคัญที่สุด คือ เหตุต้องตรงกับผล ถ้าขณะนี้ไม่รู้ว่าสัจธรรมคืออะไร ก็ไม่สามารถอบรมเจริญหนทางที่จะดับกิเลสได้

ผู้ฟัง ฟังสูตรนี้แล้ว ต้องเข้าใจอย่างแน่นอนว่า พราหมณ์ภารทวาชโคตรต้องเจริญสติปัฏฐานมาเต็มเปี่ยมแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสถึงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเลย พูดแต่หิริโอตตัปปะ มีทุกข์เพราะโค มีทุกข์เพราะบุตร มีทุกข์เพราะไร่ มีทุกข์เพราะฉางข้าว ก็ได้บรรลุแล้ว

สุ. ยัง ท่านต้องบรรพชาอุปสมบทก่อน ไม่ใช่บรรลุทันที

ผู้ฟัง ตอนที่ฟังได้เพียงถึงพระรัตนตรัยเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้พูดละเอียดถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

สุ. ทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษา [ตอนที่ 1579]


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ