ความเสื่อมในกุศลธรรม
สำหรับผู้ที่ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่เห็นอกุศลว่าเป็นโทษนั่นก็อย่างหนึ่ง หรือแม้เห็นว่าอกุศลเป็นโทษแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมให้กุศลเกิด นี่ก็เป็นอหิริกะ อโนตตัปปะ อีกขั้นหนึ่ง ท่านผู้ฟังเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าในชีวิตประจำวัน
รับฟัง ...
โอวาทสูตรที่ ๒ ข้อ ๔๙๐ ณ พระวิหารเวฬุวัน สถานที่เดียวกับ โอวาทสูตรที่ ๑ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสให้ท่านพระมหากัสสปะกล่าวสอนภิกษุทั้งหลาย
ท่านพระมหากัสสปกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายในบัดนี้เป็นผู้ว่ายาก ประกอบด้วยธรรมที่ทำให้เป็นผู้ว่ายาก ไม่อดทน ไม่รับอนุศาสนีโดยเคารพ บุคคลบางคน ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีความเพียร ไม่มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลายตลอดคืนหรือวันของเขาที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเจริญไม่ได้เลย เปรียบเหมือนพระจันทร์ในข้างแรม ย่อมเสื่อมจากวรรณะ จากมณฑล จากรัศมี จากความยาวและความกว้าง ในคืนหรือวันที่ผ่านมา ฉันใด บุคคลบางคนไม่มีศรัทธา ... ไม่มีหิริ ... ไม่มีโอตตัปปะ ... ไม่มีความพากเพียร ... ไม่มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลาย ตลอดคืนหรือวันของเขา ที่ผ่านมา เป็นอันหวังได้แต่ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายเท่านั้น หวังความเจริญไม่ได้เลย เหมือนฉะนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่บุรุษบุคคลไม่มีศรัทธานี้เป็นความเสื่อมโทรม ข้อที่บุรุษบุคคลไม่มีหิรินี้เป็นความเสื่อมโทรม ข้อที่บุรุษบุคคลไม่มีโอตตัปปะนี้เป็นความเสื่อมโทรม ข้อที่บุรุษบุคคลเป็นคนเกียจคร้านนี้เป็นความเสื่อมโทรม ข้อที่บุรุษบุคคลมีปัญญาทรามนี้เป็นความเสื่อมโทรม ข้อที่บุรุษบุคคลมักโกรธนี้ เป็นความเสื่อมโทรม ข้อที่บุรุษบุคคลผูกโกรธนี้เป็นความเสื่อมโทรม ข้อที่ไม่มีภิกษุ ผู้กล่าวสอนนี้เป็นความเสื่อมโทรม
สำหรับผู้ที่มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ มีความเพียร มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลายก็ตรงกันข้าม ซึ่งเปรียบเหมือนพระจันทร์ข้างขึ้นย่อมเปล่งปลั่งด้วยวรรณะ ด้วยมณฑล ด้วยรัศมี ด้วยความยาวและความกว้าง
ข้อความในอรรถกถาอธิบายว่า
ผู้ว่ายาก เป็นผู้ที่ฟังอนุศาสนีแล้วไม่รับเอาโดยความเคารพ
คือ ไม่ปฏิบัติตามคำสอน ไม่ใช่นอบน้อมกราบไหว้และคิดว่า นั่นคือรับเอา แต่เวลาที่ไม่รับเอา คือ ไม่ปฏิบัติตาม
เมื่อไม่ปฏิบัติตามคำสอน เป็นผู้ชื่อว่ารับเอาโดยไม่เคารพ
ทุกท่านเห็นพระจันทร์บ่อยๆ บางคนก็ชอบดูพระจันทร์ แต่เคยระลึกถึงคำที่พระผู้มีพระภาคและท่านพระมหากัสสปะกล่าวถึงพระจันทร์หรือเปล่าว่า ขณะไหน เป็นข้างแรม ขณะนั้นคืออกุศลธรรม ขณะไหนเป็นข้างขึ้น ขณะนั้นคือกุศลธรรม
เพราะฉะนั้น เพียงการเห็นพระจันทร์ สำหรับผู้ที่ฟังพระธรรมก็จะระลึกได้ถึง ใจของตนเองว่า เหมือนข้างแรมหรือข้างขึ้น ซึ่งเป็นพุทธโอวาทที่ทำให้ทุกคนที่มีอัธยาศัยต่างๆ กันสามารถระลึกถึงตนเองได้ แม้แต่ในการดูพระจันทร์
เคยดูบ่อยๆ ไหม วันนี้ลองดู ข้างขึ้นหรือข้างแรม และไม่ใช่ว่าทุกท่านจะมีแต่ข้างขึ้น ใช่ไหม ขณะที่เห็นข้างแรม อหิริกะ อโนตตัปปะในวันนั้นมีอะไรบ้าง แทนที่จะเห็นเฉยๆ ก็ยังเป็นประโยชน์ที่จะระลึกได้ว่า พระจันทร์ข้างแรมเหมือนอกุศลของท่านในวันนั้นซึ่งมีอะไรบ้าง
และสำหรับ ข้อที่บุรุษบุคคลมักโกรธนี้เป็นความเสื่อมโทรม พระผู้มีพระภาคและท่านพระมหากัสสปะไม่เว้นที่จะกล่าวเติมในเรื่องที่เหมาะที่ควรแก่บุคคลที่จะพิจารณา แม้ว่าใน โอวาทสูตรที่ ๑ จะได้กล่าวถึงบุคคลผู้ว่ายาก และไม่มีหิริโอตตัปปะ เป็นคนเกียจคร้าน มีปัญญาทราม ใน โอวาทสูตรที่ ๒ ก็ยังกล่าวถึงผู้ที่มักโกรธและผูกโกรธ ซึ่งเป็นความเสื่อมโทรม
ผู้ที่มักโกรธและผูกโกรธ พิจารณาหรือเปล่าว่า เพราะอะไรขณะนั้นจึงโกรธ โกรธใคร โกรธความไม่ดีของคนอื่น ใช่ไหม ปักใจในความไม่ดีของคนอื่น แต่ลืมพิจารณาว่า ความไม่ดีของคนอื่นก็เกิดขึ้นและดับไปเพียงขณะหนึ่งๆ แต่ความ ผูกโกรธของท่านเองซึ่งปักใจในบุคคลนั้น เกิดนานเท่าไร มากกว่าอกุศลคือความไม่ดีของคนอื่นที่ทำให้ท่านยังคงปักใจโกรธอยู่หรือเปล่า หรือยังไม่ลืมที่จะคิดถึงความไม่ดีนั้นและยังคงโกรธ ซึ่งในขณะนั้นหิริโอตตัปปะไม่เกิดเลย ฉลาดที่จะรู้ความไม่ดีของ คนอื่น แต่ไม่ฉลาดที่จะรู้อกุศลของตนเองซึ่งกำลังโกรธในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานจะทำให้ระลึกได้ว่า แม้ในขณะที่กำลังปักใจโกรธบุคคลหนึ่งบุคคลใด ก็คือคิดเอง เป็นความคิดของตนเองจริงๆ ซึ่งท่านผู้นั้น ขณะนั้นอาจจะบำเพ็ญกุศลอยู่ ความไม่ดีของบุคคลนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะและดับไป แต่สำหรับคนที่โกรธความไม่ดีของบุคคลนั้น ก็ยังคงเป็นอกุศลอยู่ และนานตราบเท่าที่ยังผูกโกรธไว้
ทุกท่านไม่ควรที่จะลืมว่า อีกไม่นานก็ถึงชาติหน้า และชาติหน้า ท่านอยากจะเป็นบุคคลประเภทไหน อยากจะมีกิเลสน้อยหรืออยากจะมีกิเลสมาก ดูเหมือนว่าชาตินี้กิเลสมาก แต่ชาติหน้าอยากมีกิเลสน้อย เหตุกับผลก็ไม่ตรงกัน ในเมื่อชาตินี้ยังมีกิเลสมาก และชาตินี้ก็ไม่ขัดเกลากิเลส ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่ละคลาย ชาติหน้าจะกิเลสน้อยไม่ได้
สำหรับชาติหน้า ทุกคนจะเป็นบุคคลใหม่ ซึ่งจะไม่ย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ อีกเลย และถ้าใครมีปัญญาถึงขั้นรู้อดีตของชาติหน้า ซึ่งก็คือชาตินี้เอง ชาติหน้า ก็อาจจะคิดว่า ชาติก่อนไม่ควรทำอย่างนี้เลย ไม่ควรผูกโกรธอย่างนั้น ไม่ควรกล่าววาจาอย่างนั้น แต่ก็ได้กระทำไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ชาตินี้ยังมีโอกาสอยู่ที่หิริโอตตัปปะจะเกิด และละคลายอกุศล เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ย้อนกลับมาคิดว่า ชาติก่อนนี้ไม่ควรทำอกุศลอย่างนั้นๆ เลย ควรรู้เดี๋ยวนี้ และละเดี๋ยวนี้ หิริโอตตัปปะเกิดเดี๋ยวนี้ จะได้ไหม เท่านั้นเอง ปัญหา อยู่ที่ได้หรือไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ [ตอนที่ 1578]

ทุกท่านไม่ควรที่จะลืมว่า อีกไม่นานก็ถึงชาติหน้า และชาติหน้า ท่านอยากจะเป็นบุคคลประเภทไหน อยากจะมีกิเลสน้อยหรืออยากจะมีกิเลสมาก ดูเหมือนว่าชาตินี้กิเลสมาก แต่ชาติหน้าอยากมีกิเลสน้อย เหตุกับผลก็ไม่ตรงกัน ในเมื่อชาตินี้ยังมีกิเลสมาก และชาตินี้ก็ไม่ขัดเกลากิเลส ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่ละคลาย ชาติหน้าจะกิเลสน้อยไม่ได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ


