ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๔

 
khampan.a
วันที่  14 ก.ย. 2568
หมายเลข  50940
อ่าน  2,317

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๔





~ พระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ที่วัดวาอาราม แต่ว่าอยู่ที่ความเข้าใจของแต่ละคน เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถที่จะให้คนอื่นได้มีโอกาสได้ฟังธรรม ได้เข้าใจธรรมถูกต้องขึ้น พระพุทธศาสนาก็ดำรงอยู่ได้ต่อไป

~ ศึกษาแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจจริงๆ เมื่อนั้นก็จะชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นคุณธรรมที่ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ทั้งประเทศไม่มีปัญหาเลย ไม่มีความเดือดร้อน มีแต่ความสงบเพราะเป็นกุศล แต่ทั้งหมดที่วุ่นวายไม่สงบเพราะอกุศล แล้วอกุศลทั้งหลายจะค่อยๆ ละ ลดลงไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีปัญญา ละไม่ได้เลย

~ การศึกษาพระธรรมก็เพื่อที่จะให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และที่เตือนกันบ่อยๆ พูดถึงเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏบ่อยๆ ก็เพราะว่ามีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่เป็นสภาพธรรมที่รู้ยาก ลึกซึ้งซึ่งถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงและพิจารณาโดยละเอียด ก็ยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงในความละเอียดของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

~ ถึงแม้ว่าธรรมจะเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ก็เป็นสภาพที่รู้ได้แสนยากถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะสามารถเข้าใจและรู้สภาพธรรมนั้น ผู้ที่ศึกษาธรรมแล้วย่อมเข้าใจความหมายที่ว่า โลกมืดเพราะอวิชชา เพราะถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้ไม่ทรงแสดงพระธรรม ก็ไม่มีใครเข้าใจลักษณะของสภาพที่กำลังปรากฏว่าเป็นแต่เพียงธรรมแต่ละอย่าง ถึงแม้ว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังมีจริงๆ แต่อวิชชาก็ปิดกั้นไม่ให้เห็นว่าสภาพธรรมในขณะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

~ สัมมาวาจา วิรัติคืองดเว้นวจีทุจริต ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสมบูรณ์ทั้งอรรถและพยัญชนะ ไม่ได้กล่าวว่าสัมมาวาจาคือวิรัติหรืองดเว้นวจีหรือการพูดคือไม่ใช่งดเว้นการพูด แต่สัมมาวาจา คือวิรัติวจีทุจริต มิฉะนั้นแล้วในพระธรรมก็ต้องมีว่าสัมมาวาจาวิรัติการพูด ท่านตรวจสอบได้ในพระไตรปิฎกว่า สัมมาวาจา ไม่ใช่วิรัติการพูด แต่ว่าวิรัติคำพูดที่เป็นทุจริต

*** ~ เรื่องของกิเลสที่สะสมมา ไม่เป็นทางโน้น ก็เป็นทางนี้ ไม่เป็นไปในเรื่องนี้ ก็เป็นไปในเรื่องนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ริษยาในฐานะ ในความเป็นอยู่ ในทรัพย์สินเงินทอง แต่บางท่านอาจจะมีความริษยา มีความรู้สึกในใจ เกรงว่าบุคคลอื่นจะเก่งกว่าจะได้รับคำสรรเสริญ ยกย่องเคารพสักการะมากกว่า มีไหมในชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ชีวิตของท่านเอง แต่ให้ดูฤทธิ์ของความริษยาว่าถึงจะไม่เป็นไปในทรัพย์สินเงินทอง ฐานะความเป็นอยู่ แต่แม้เพียงคำสรรเสริญ ความเคารพสักการะของบุคคลอื่น บางคนก็ยังกลัว เกรงว่าคนอื่นจะเลื่อมใสในคนอื่นมากกว่า จะสรรเสริญยกย่องเคารพบุคคลอื่นมากกว่า หรือเกรงแม้แต่ว่าบุคคลอื่นจะเก่งกว่า***

~ ไม่ควรที่จะไปริษยาบุคคลหนึ่งบุคคลใดเลย เพราะถึงแม้ว่าจิตจะเร่าร้อนริษยาสักเท่าไร บุคคลที่สมบูรณ์ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ก็มีเหตุที่จะให้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขนั้น อุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ไม่สมควรที่จะให้จิตเป็นอกุศลริษยาในบุคคลอื่น แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย ก็ควรที่จะทราบว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลควรจะละให้หมดสิ้นไป

~ ถ้าท่านเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีรากลึก แต่ไม่มีศาสตรา ทำอย่างไรจึงจะฟันต้นไม้ต้นนั้นได้ เหมือนกับเวลานี้มีอวิชชามีความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทำอย่างไรจึงจะละหรือดับกิเลสความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ ก็มีหนทางเดียว คือ การอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่หนทางอื่น

~ เมื่อได้ประจักษ์ในสภาพความจริงของกุศลและอกุศลแล้ว ผู้ที่เข้าใจจริงๆ ย่อมเจริญกุศลยิ่งขึ้น ละคลายอกุศลให้น้อยลง

*** ~ ขณะนี้ทุกคนไม่รู้ว่าเป็นทาสของกิเลสอย่างมากมายมหาศาล เมื่อไหร่ที่ได้พ้นมาสักนิดหนึ่งก็จะรู้สึกในความเป็นอิสระ***

~ จำไว้ได้เลย ทุกขณะในชีวิตของชาตินี้เป็นชาติก่อนของชาติหน้า
ชัดเจน ไม่ต้องถามใคร ที่เป็นคนไม่ดี ที่มีการทำชั่วทำทุจริต
ทั้งกาย วาจา ใจ เพราะไม่รู้ ถ้ารู้จริงๆ ก็ไม่มีใครทำชั่ว เพราะรู้จริงๆ คือ ปัญญา ปัญญาไม่ทำชั่ว

~ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา และดับทันทีด้วยเร็วอย่างนั้น พอเกิดแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกและไม่เหลือเลย ใครที่กำลังร้องไห้ หยุดร้องไห้เมื่อเข้าใจความจริง ร้องไห้ทำไมกับสิ่งที่ไม่มี? และการที่ค่อยๆ พ้นจากการที่จะต้องร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่ไม่มี ก็สามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้น จะโกรธอะไรกับสิ่งที่ไม่มี จนถึงจะชอบอะไรกับสิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้น ความเข้าใจก็จะเพิ่มและมั่นคงขึ้น จนกระทั่งเมื่อกิเลสเบาบาง สภาพธรรมก็ปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว

~ ผู้ที่มีอกุศลมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอกุศลให้รู้ตัว ผู้ที่มีอกุศลน้อยก็ทรงแสดงเรื่องของกุศล เพื่อความเบิกบานใจเพราะว่าขณะนั้นบุคคลนั้นก็สะสมกุศลมามาก เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดเพื่อเกื้อกูลตามอัธยาศัย

~ ชีวิตประจำวันทั้งหมดจะสังเกตได้ว่าทุกคนต้องมีอกุศลในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชาติหนึ่งชาติใด วันหนึ่งวันใด เหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดก็ตาม ขณะที่ไม่จริงใจ และเสแสร้งแม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นอกุศล ถ้าไม่มีใครบอกถ้าไม่มีใครเตือนจะรู้ไหมว่า เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ก็เป็นอกุศลในรูปแบบต่างๆ ทั้งนั้น แม้แต่เพียงความไม่จริงใจ แม้เพียงการเสแสร้งเพียงเล็กๆ น้อยๆ ในขณะนั้นก็เป็นอกุศล

~ ใครที่ทำผิด รู้ว่าทำไม่ดี เกิดสติระลึกได้ก็ทำกุศล เพราะว่าได้ทำอกุศลมาแล้ว อย่างหลายคนเคยฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยมามาก ศึกษาธรรมแล้วก็เลิกและทำกุศลเพิ่มขึ้น การระลึกถึงอกุศลที่ได้ทำแล้วเป็นปัจจัยให้ทำกุศลได้

~ เมตตาไม่ใช่ว่าจะเกิดง่าย แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรมและเห็นโทษของอกุศลธรรมจริงๆ จะรู้ว่า ถ้ายังคงมีอกุศลมากมาย การดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ละได้เด็ดขาด) ก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น เรื่องของการฟังพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ที่จะต้องฟังและพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองเพื่อประโยชน์อันแท้จริง

~ สำหรับชีวิตในแต่ละชาติจะเห็นได้ว่าถ้าในทุกๆ ชาติที่เกิดมา มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ถ้ายังไม่ละคลายอกุศลต่างๆ ในชีวิตประจำวันจริงๆ ด้วยความตั้งใจมั่น ด้วยความเพียร ด้วยความอดทน ย่อมไม่ถึงกาลที่จะดับกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสมากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้น การที่กุศลแต่ละขณะจะเกิดได้จะเจริญได้ ต้องอาศัยความเพียรและความอดทนต่อการที่จะไม่เป็นอกุศลในขณะนั้น

~ สำหรับผู้ที่ใคร่จะเจริญกุศล ไม่ควรคิดแต่เรื่องของทานกุศล แต่ควรจะพิจารณาตนเองให้เข้าใจสภาพธรรมเพื่อขัดเกลากิเลสซึ่งยากกว่าการเจริญทานกุศล เพราะว่าต้องเป็นผู้ที่สติระลึกรู้ลักษณะสภาพจิตของตน และเป็นผู้ตรง เป็นผู้ละเอียด จึงจะเห็นกิเลสที่ละเอียดๆ ของตนเองได้

~ เรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ใครจะคิดว่า นั่งสงบๆ หรือไม่รู้อะไรเลยก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมและดับกิเลสได้ แต่เป็นเรื่องของความละเอียด เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา เป็นเรื่องของสติที่จะระลึกได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าสภาพธรรมนั้นจะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลก็ตาม

*** ~ เราต้องตาย ก่อนตาย เป็นคนดี ดีไหม?***



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๓





... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 14 ก.ย. 2568

การศึกษาพระธรรมเพื่อที่จะให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ พูดถึงเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏบ่อยๆ เพราะมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่เป็นสภาพธรรมที่รู้ยาก ลึกซึ้ง ซึ่งถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงและพิจารณาโดยละเอียด ก็ยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงในความละเอียดของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 14 ก.ย. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 14 ก.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 14 ก.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มังกรทอง
วันที่ 27 พ.ย. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ