ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๒

 
khampan.a
วันที่  31 ส.ค. 2568
หมายเลข  50836
อ่าน  2,556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๒





~
ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ตอนเย็นๆ ณ พระวิหารเชตวัน ณ พระวิหารเวฬุวัน ก็มีพุทธบริษัทไปเฝ้าเพื่อฟังพระธรรม จุดประสงค์ในการทรงแสดงพระธรรมก็เพื่อให้ผู้ฟังพิจารณาและเกิดปัญญาของตนเอง เพราะว่าพระองค์ดับกิเลสหมดแล้ว พระปัญญาสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ไม่มีกิจที่จะต้องกระทำส่วนพระองค์ นอกจากสัตตูปการคุณ คือ การทรงแสดงธรรมเพื่ออุปการะแก่สัตว์โลก เพื่อให้ผู้ฟังเกิดปัญญา เพราะฉะนั้น แม้ในสมัยนี้ เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านล่วงเลยมาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี ผู้ที่เคยสนใจฟังพระธรรมก็ยังไม่ทิ้งโอกาส เวลาที่มีพระธรรมที่ได้เคยทรงแสดงไว้ ณ ที่ใด ก็ฟังและพิจารณา แต่ข้อสำคัญคือให้รู้ว่าเพื่อปัญญาของตนเองเกิดขึ้น เข้าใจเหตุและผลโดยสมบูรณ์ โดยไม่ผิด เพราะว่าเป็นเรื่องของเหตุและผลทั้งสิ้น

~
ต้องเป็นผู้ตรง ที่กล่าวว่ายังมีกิเลส ก็ถูก เพื่อที่จะได้อบรมเจริญปัญญาจึงจะละกิเลสได้ แต่ต้องยอมรับก่อนว่ามีกิเลสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ครบทุกอย่าง มากหรือน้อยแล้วแต่การสะสม เพราะฉะนั้น ทานบารมีจะเกี่ยวข้องกับการดับกิเลสได้อย่างไร ลองคิดดูว่าแม้เพียงสิ่งภายนอกเรายังไม่สามารถสละได้ จะสละสิ่งทั้งหมดที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา ซึ่งเหนียวแน่นกว่าวัตถุภายนอกได้อย่างไร ถ้าไม่ค่อยๆ อบรมนิสัยให้เป็นอุปนิสัยที่สามารถจะสละได้

~
ความอดทนเป็นสิ่งที่ละเอียดซึ่งทุกท่านที่ศึกษาธรรมก็เป็นผู้ที่อดทนต่อ การที่จะฟังและพิจารณาให้เข้าใจธรรมโดยฉลาด โดยแยบคาย ไม่ใช่เป็นผู้ที่เพียงแต่ฟังและคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ความจริงอาจจะมีการหลงผิดหรือมีความเข้าใจผิดบางประการได้ เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจะต้องมีความอดทนเพิ่มขึ้น คือ พิจารณาในเหตุในผลที่ถูกต้องจนกระทั่งสามารถเห็นประโยชน์และเจริญกุศลยิ่งขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็เพียงฟังและไม่พิจารณาด้วยความแยบคายซึ่งจะทำให้ประพฤติผิดปฏิบัติผิดได้

~
ถ้าสติไม่ระลึกรู้ว่า คิด เป็นกุศลหรืออกุศลแล้ว วันหนึ่งคิดเป็นอกุศลมากสักเท่าไร คงไม่คิดที่จะดับความดำริที่เป็นอกุศล แต่ยิ่งสติระลึกรู้ เห็นอกุศลวันหนึ่งๆ มากเหลือเกิน ก็จะเป็นปัจจัยให้คิดที่จะละหรือดับอกุศลนั้นลงให้หมดสิ้นไป ถ้าไม่รู้ว่ามีมากก็ไม่คิดที่จะดับ แต่ถ้าสติระลึกรู้เห็นว่ามีมาก ระลึกทีไรก็เห็นว่ามีมากจริงๆ ควรที่จะดับไหม หรือว่าควรที่จะสะสมให้มากยิ่งขึ้น?

~
เรื่องของแต่ละบุคคลที่สะสมมา เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระอริยสาวก มหาอำมาตย์ของแคว้นราชคฤห์และแคว้นอื่นๆ ก็เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค แต่ท่านเหล่านั้นก็ยังเป็นผู้กระทำกิจของตน และเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลสของตน โดยที่จะไปเปลี่ยนบุคคลนั้นให้กลายเป็นบุคคลอื่นก็ไม่ได้ แต่สำหรับท่านที่มีฉันทะมีอุปนิสัยที่จะละอาคารบ้านเรือนเป็นบรรพชิต แม้ท่านจะเป็นโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็มีอุปนิสัยที่จะละอาคารบ้านเรือน รู้แจ้งอริยสัจธรรมในเพศของบรรพชิต เป็นเรื่องที่แต่ละคนก็มีเหตุมีปัจจัยสะสมมาที่จะเป็นบุคคลนั้น

~
บารมีทั้งหมดจะขาดไม่ได้เลย แม้แต่ความจริงใจที่จะขัดเกลากิเลสก็ต้องมี เป็นสัจจบารมี ระลึกได้ที่จะคิดถึงความไม่ดีของคนอื่นด้วยเมตตา มิฉะนั้นแล้ว จะถึงการดับกิเลสไหมถ้าไม่เข้าใจเรื่องของบารมี และนอกจากความจริงใจที่เป็นสัจจบารมีแล้วยังต้องมีอธิษฐานบารมี คือ ความมั่นคง ไม่หวั่นไหว แม้ว่ามีความจริงใจแล้ว แต่บางครั้งก็ยังหวั่นไหวไป ก็ต้องมีอธิษฐานบารมีว่า ต้องมีความมั่นคงในการเป็นผู้ที่จริงใจต่อการที่จะขัดเกลากิเลสด้วย

~
ถ้าเป็นผู้ที่จริงใจ ถ้าโกรธหรือคิดถึงความไม่ดีของคนอื่นแล้วขุ่นเคือง สติก็ควรที่จะเกิดระลึกได้ว่าเป็นผู้จริงใจในการที่จะขัดเกลากิเลสหรือเปล่า ถ้าระลึกได้ มีความมั่นคง มีความจริงใจ ขณะนั้นจะคิดถึงความไม่ดีของคนอื่นด้วยเมตตา

~
บางท่านที่ไม่อดทน เพราะว่ามีสิ่งที่ไม่น่าพอใจกับมิตรสหายเพื่อนร่วมงาน ในขณะนั้นผู้นั้นก็ลืมคิดถึงประโยชน์ของตนเอง เพียงแต่คำว่า "ประโยชน์ของตนเอง" ขอให้ใคร่ครวญว่า ประโยชน์ของตนเองนั้นคืออะไร ประโยชน์จริงๆ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนจะทำกิจการงานอะไรทั้งสิ้น ประโยชน์ของตนเองนั้นคืออะไร ก็คือ การพิจารณารู้ว่า ไม่ใช่แก้ไขคนอื่น หรือไม่ใช่ต้องการให้คนอื่นอดทน แต่ขณะที่ตัวท่านเองเริ่มที่จะอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือขณะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เจริญในกุศลทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทาน เรื่องศีล หรือแม้แต่ความเมตตา

~
เมื่อระลึกถึงอดีตชาติของท่านพระสาวกทั้งหลาย จะเห็นได้ว่าก่อนที่ท่านจะมีความอดทนถึงอย่างนั้น ท่านก็เป็นผู้ที่มีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ มีอกุศลมากมายเหมือนอย่างทุกท่านที่นี่ แต่ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีปัญญา และเห็นคุณของความอดทน เห็นคุณของกุศลทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ท่านก็มีความอดทนที่จะอบรมเจริญกุศลทุกประการ จนในที่สุดบารมีทั้งหลายก็ถึงที่สุดด้วยการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

~ เรื่องของบารมีเป็นเรื่องที่จบเมื่อสมบูรณ์ แต่ก่อนที่จะถึงความสมบูรณ์ ก่อนที่จะจบลงได้ ต้องอบรมไปและอดทนไปแต่ละชาติซึ่งเป็นจิรกาลภาวนา เพราะว่าต้องอาศัยกาลเวลาในการอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เมื่อเห็นกิเลสมากเท่าไรก็รู้ว่า จะต้องอาศัยกาลเวลานานมากทีเดียว กว่าที่จะขัดเกลากิเลสนั้นๆ ได้ โดยไม่ขาดการฟังพระธรรม และไม่ขาดการที่จะพิจารณาตนเอง เพราะว่าพระธรรมที่ได้ฟังทั้งหมด เป็นการอบรมเจริญปัญญาและการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น

*** ~
ถ้าเป็นบารมีจริงๆ ก็หมายความว่าต้องถึงอีกฝั่งหนึ่ง คือ เป็นฝั่งที่ดับกิเลส ต่างจากฝั่งที่เป็นฝั่งของกิเลส เพราะฉะนั้น การที่จะถึงอีกฝั่งหนึ่งซึ่งแสนไกล ก็ไม่ใช่ว่าจะถึงได้โดยง่าย แต่จะต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่า เป็นเรื่องของการละกิเลส เป็นเรื่องของการขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น แม้การให้ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่า มีการมุ่งหวังสิ่งใดหรือไม่ที่เป็นการตอบแทน ถ้ายังคงหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใด การให้นั้น ไม่ใช่บารมี เพราะยังเป็นไปกับกิเลส***

*** ~
ในการสนทนาเวลาที่มีเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นและมีคนที่ทำผิด เป็นที่ติเตียนของสังคม ขอให้พิจารณาว่าใจของท่านคิดอย่างไร ถ้าคิดช่วยกันซ้ำเติมบุคคลนั้น ขณะนั้นเข้าใจว่าอธรรม (อกุศลธรรม) ดีกว่าธรรม (กุศลธรรม) หรือเปล่า? เพราะว่าในขณะที่ช่วยกันกระหน่ำซ้ำเติมบุคคลนั้น ขณะนั้นเป็นอธรรม (อกุศลธรรม) ไม่ใช่เป็นธรรม (กุศลธรรม) แต่ถ้าเป็นธรรม (กุศลธรรม) แล้ว จะทำให้เกิดสติสัมปชัญญะระลึกได้และมีความเมตตา มีความอดกลั้น มีความอดทน แทนที่จะช่วยกันทำให้เกิดอกุศลหรือโทสะเพิ่มขึ้น***

~
ไม่อยากตาย แต่กำลังตาย เพราะมีสิ่งอื่นเกิดทำให้ไม่รู้ว่าเมื่อกี้นี้หมดสิ้นไปแล้ว เหมือนยังเป็นเราอยู่ใช่ไหม แต่เวลาจะตายจริงๆ ไม่รู้ตัวเลย สบายจริงๆ คือเหมือนหลับ แต่ว่าพอตื่นขึ้นก็อีกโลกหนึ่ง แต่ยังไม่ตายก็คือหลับตื่นขึ้นก็ยังเป็นคนนี้ ชอบไหมเป็นคนนี้ ปัญหามากไหม เรื่องมากไหม เดือดร้อนหรือไม่

~
จะต้องเป็นผู้ไม่ประมาท เพราะสมัยหนึ่งเป็นบุคคลที่ดี เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยทำให้เป็นผู้ที่แพ้ต่อลาภสักการะ แต่สมัยต่อมาเมื่อมีลาภ สักการะและสรรเสริญ ซึ่งบุคคลนั้นเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ต่อลาภสักการะและสรรเสริญ จึงมีปัจจัยที่จะให้ทำทุจริต พูดมุสา (เท็จ) แม้รู้ได้

~
วันหนึ่งๆ ทุกคนมีอกุศลจิตเกิดมากหรือว่ามีกุศลจิตเกิดมาก? ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน อาจจะคิดว่าท่านมีสมบัติมาก แก้วแหวนเพชรนิลจินดาต่างๆ แต่สมบัติเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่ของของตนจริงๆ เพราะถ้าท่านจากโลกนี้ไปแล้ว แก้วแหวนเงินทองทรัพย์สมบัติ บ้านเรือนนั้น เป็นของใคร แต่กรรมที่แต่ละคนทำ เป็นของของตน ซึ่งคนอื่นจะเอาไปไม่ได้เลย โจรจะลักไปไม่ได้ คนอื่นจะยื้อแย่งด้วยประการใดๆ ก็ไม่ได้ทั้งสิ้น

~
โลกก็มีเท่านี้ คือ มีแต่ธาตุหรือธรรม ถ้าใช้คำว่า “ธรรม” ก็ไม่ใช่เพียงแต่เราจำคำนี้ไว้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ต้องรู้ว่าขณะนี้อะไรจริง และสิ่งที่จริงเป็นธรรมโดยที่เราเพียงจำชื่อว่าสิ่งนี้เป็นธรรม หรือว่าเข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมของสิ่งนี้จริงๆ จนกระทั่งทั้งหมดเป็นธรรม ไม่มีเราหรือว่าไม่มีความสงสัยในธรรม

~
ภพนี้ ชาตินี้ อาจจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยชาติ ตระกูล โภคสมบัติ รูปสมบัติ วิชาความรู้ บริวารสมบัติ ทุกสิ่งทุกประการ แต่ว่าภพหน้า ชาติหน้า จะเป็นใคร ยังจะมีรูปสวยรูปงาม มีทรัพย์สมบัติมาก เกิดในสกุลที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ ข้าทาสบริวารหรือเปล่า อาจจะตรงกันข้ามก็ได้ เพราะฉะนั้น การระลึกถึงความตาย เห็นความไม่เที่ยง ย่อมจะทำให้ท่านละคลายแม้ความติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ในสมบัติของท่าน ซึ่งเคยถือว่าเป็นของเรา นอกจากนั้นยังทำให้ละคลายมานะ การถือตน การสำคัญตน หรือว่าความผูกพันในสัตว์ ในบุคคลซึ่งเป็นที่รักในสังขารที่เป็นที่รัก จึงจะเป็นกุศล

*** ~
ความตาย ย่อมจะเกิดขึ้นได้ในวันหนึ่งวันใด ขณะหนึ่งขณะใด ช้าหรือเร็ว ชาติหน้าอาจจะเป็นขณะต่อไป หรือวันต่อไป หรือสัปดาห์ต่อไป เดือนต่อไป ปีต่อไปก็ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะไม่มีเครื่องหมายให้รู้เลยว่าชาติหน้าของใครจะเป็นเมื่อไร***

~
ถ้าพูดถึงชาติหน้า คือ หลังจากที่จุติและจะมีการปฏิสนธิ ถ้าชาติหน้าจะเป็นระยะที่ใกล้ที่สุด สั้นที่สุด ก็คือในขณะนี้ ประโยชน์คือทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท โดยเมื่อระลึกถึงความตาย ก็เกิดสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

~
ชีวิตประจำวันที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือกันจริงๆ สามารถที่จะกระทำได้ทั้งในระดับขั้นของวัตถุทานและในระดับขั้นของธรรมทาน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้มีโอกาสเข้าใจธรรมถูกต้อง และได้ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วย นอกจากนั้นการทำให้บุคคลอื่นมีความเข้าใจธรรม จะทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้นด้วย เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรม กุศลอื่นๆ ก็เจริญไม่ได้

~ จะมีชีวิตอีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้เลย สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือความเข้าใจถูกแสงสว่างที่ได้เข้าใจความจริง เบิกบานว่าได้เข้าใจบ้าง แล้วก็สะสมการที่จะเห็นประโยชน์ ทำให้เป็นปัจจัยให้ได้ฟังอีก เข้าใจอีกบ้าง จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง เบิกบาน ไม่เดือดร้อนเลย เพราะเหตุว่าไม่มีใคร ไม่มีตัวตนที่จะไปบันดาลอะไรได้นอกจากความเข้าใจคำที่ได้ฟัง



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๑





... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 31 ส.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 31 ส.ค. 2568

แม้เพียงสิ่งภายนอกเรายังไม่สามารถสละได้ จะสละสิ่งทั้งหมดที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา ซึ่งเหนียวแน่นกว่าวัตถุภายนอกได้อย่างไร ถ้าไม่ค่อยๆ อบรมนิสัยให้เป็นอุปนิสัยที่สามารถจะสละได้

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 31 ส.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถ้าเป็นผู้ที่จริงใจ ถ้าโกรธหรือคิดถึงความไม่ดีของคนอื่นแล้วขุ่นเคือง สติก็ควรที่จะเกิดระลึกได้ว่าเป็นผู้จริงใจในการที่จะขัดเกลากิเลสหรือเปล่า ถ้าระลึกได้ มีความมั่นคง มีความจริงใจ ขณะนั้นจะคิดถึงความไม่ดีของคนอื่นด้วยเมตตา

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มังกรทอง
วันที่ 31 ส.ค. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มังกรทอง
วันที่ 31 ส.ค. 2568

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 31 ส.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 31 ส.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Wisaka
วันที่ 3 ก.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
มังกรทอง
วันที่ 18 พ.ย. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ