กว่าจะไม่เหลือความเป็นเรา

 
เมตตา
วันที่  7 ก.ย. 2568
หมายเลข  50889
อ่าน  343

อ.ณภัทร: กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า รู้สึกสะดุ้ง คำว่าสะดุ้งของผม ก็คือว่าในคำเตือนของท่านอาจารย์ว่า เห็นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ได้ยินเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เป็นต้น แล้วที่ว่า สะดุ้ง ก็คือที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า แล้วรู้อย่างนั้นหรือยังว่า เห็นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งครับ เพราะว่าธรรมะนั้นๆ ก็เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งก็มีความละเอียด แล้วก็ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

การที่จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาทที่จะค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ พิจารณาในธรรมะนั้นๆ จะมีความละเอียดอย่างไรที่เป็นชีวิตประจำวันที่เกิดแล้วเป็นแล้วขณะนี้ครับ

ท่านอาจารย์: จะเร็วได้ไหม?

อ.ณภัทร: ไม่สามารถจะเร็วได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ชีวิตตามความเป็นจริงว่า สะสมอะไรมามาก เพื่อที่จะเข้าใจว่า นั่นแหละเป็นธรรมะ ไม่ใช่รีบร้อนว่า เข้าใจคำว่า ธรรมะ แล้ว แต่ฟังแล้วเข้าใจขึ้นๆ

เมื่อรู้ว่าเป็นธรรมะ จึงค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา และความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในแสนโกฏกัปป์ ที่อยู่ในโลกของเรา อัตตา ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานเท่าไหร่ กว่าจะไม่เหลือความเป็นเราเลย หรือไม่มีความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับทันที ไม่ต้องรอนานเลยตามความเป็นจริง

จึงต้องมั่นคงในสัจจะในความเป็นจริงเป็นสัจจบารมี นานเท่าไหร่กว่าจะรู้

เพราะอะไร? ฟังเท่าไหร่มาแล้วก็ไม่รู้ แล้วถ้าอยากจะรู้ เป็นไปได้ไหมที่อยากทำให้รู้

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก จึงสามารถที่จะค่อยๆ ละสิ่งที่ละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งเกิดดับ ไม่เป็นอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากแต่ละหนึ่ง แต่ปรากฏเป็นทั้งโลกทั้งคนทั้งบ้านเรือนทั้งประเทศ ทุกอย่างหมดตลอดชีวิต รู้หรือยัง อยู่ในโลกที่มืดด้วยความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยตามความเป็นจริง แต่สิ่งที่ปรากฏเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ยากที่จะค่อยๆ รู้ว่า ความจริงนั้นลึกซึ้งแค่ไหน อาศัยตัวเองไม่ได้เลย ไม่ได้สะสมมาที่จะเห็นความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแค่สาวก เป็นสาวกระดับไหน? ผู้ฟัง ฟังระดับไหน?

ยังไม่ใช่อริยสาวก!! แต่เป็นผู้ที่ฟังจนกว่าจะมีความเข้าใจ ละความเป็นเรา เพราะเป็นเรามาแสนโกฏกัปป์ เป็นอัตตาตลอดเวลา และไม่เหลือเลยทุกขณะในชีวิตจริงๆ

เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันเป็นเครื่องพิสูจน์ เข้าใจคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มากน้อยแค่ไหน? ระดับไหน?

อ.ณภัทร: ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ในคำเตือน ท่านอาจารย์เตือนแล้วเตือนอีกบ่อยครั้งว่า ไม่เป็นผู้ที่รีบร้อนที่จะรู้สิ่งนั้นรู้สิ่งนี้ ธรรมะนั้นธรรมะนี้ แต่ก็ต้องเป็นไปตามเหตุ และปัจจัย และความเข้าใจที่พิจารณาไตร่ตรองที่ได้จากการฟัง ก็เป็นความซาบซึ้งอย่างยิ่งครับ

แล้วเมื่อสักครู่ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนากับ อ.วิชัยว่า สติมีบ้างไหมในวันนี้ ครับ ถึงมีแต่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็แสดงถึงความละเอียดลึกซึ้งของธรรมะนั้นๆ ซึ้งธรรมะนั้นๆ ก็หมายถึง ยกตัวอย่าง ก็คือสติที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ก็ยากที่จะรู้ได้ แต่ก็คงไม่ใช่แค่สติครับ ก็มีสภาพธรรมอย่างอื่นอีกมากมายที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่รู้ครับ

ดังนั้น ท่านอาจารย์ก็ถามอีกว่า ฟังธรรมะเพื่ออะไร? จริงๆ ก็ค่อยๆ เข้าใจครับ เพื่อที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะจริงๆ ที่เกิดขึ้นปรากฏ แต่ไม่รู้ ตรงนี้ท่านอาจารย์มีอะไรจะเพิ่มเติมครับ

ท่านอาจารย์: มีธรรมะอะไรที่ไม่รู้มากมายมหาศาล

อ.ณภัทร: มากมายมหาศาลครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ค่อยๆ รู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะมีจริงเดี๋ยวนี้

อ.ณภัทร: ครับ แต่ก็หลงลืมเป็นประจำครับ เพราะว่าสติไม่ได้เกิดระลึกสภาพธรรมะนั้นๆ เลยครับ

ท่านอาจารย์: เพราะไม่รู้ ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่ได้คิด

อ.ณภัทร: ครับ ดังนั้นการฟังแล้วก็เข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจๆ อย่างนี้ครับ ก็เป็นหน้าที่ของธรรมะที่เขาจะทำหน้าที่ของเขา สติจะเกิดขึ้นทำหน้าที่ก็เป็นเรื่องของสติ ปัญญาที่เกิดพร้อมกับสติจะทำหน้าที่ของป้ญญาก็เป็นเรื่องของปัญญา ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ก็เข้าใจตามแบบนี้ครับท่านอาจารย์

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร์ ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ก.ย. 2568

เมื่อรู้ว่าเป็นธรรม จึงค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา และความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดในแสนโกฏกัปป์ ที่อยู่ในโลกของเรา อัตตา ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานเท่าไหร่ กว่าจะไม่เหลือความเป็นเราเลย หรือไม่มีความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับทันที

จึงต้องมั่นคงในสัจจะในความเป็นจริงเป็นสัจจบารมี นานเท่าไหร่กว่าจะรู้

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ