จงใส่ใจฟังไว้ให้ดี

 
เมตตา
วันที่  17 ส.ค. 2568
หมายเลข  50694
อ่าน  357

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม 2 - หน้า 780 - 782

๑๐. เถรนามสูตร

ว่าด้วยเรื่องภิกษุรูปหนึ่งชื่อเถระ

[๗๑๘] ครั้นท่านพระเถระนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถามว่า ดูก่อนเถระ ได้ยินว่า เธอมีปกติอยู่คนเดียวและมักสรรเสริญการอยู่คนเดียว จริงหรือ.

พระเถระกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนเถระ ก็เธอมีปกติอยู่คนเดียว และมักกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียวอย่างไร.

ถ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในข้อนี้ คือข้าพระองค์คนเดียวเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เดินกลับคนเดียว นั่งในที่ลับตาคนเดียว อธิษฐานจงกรมคนเดียว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีปกติอยู่คนเดียว และมักกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียว อย่างนี้แล.

[๗๑๙] พ. ดูก่อนเถระ การอยู่คนเดียวนี้มีอยู่ เราจะกล่าวว่าไม่มีก็หาไม่ เถระ อนึ่ง การอยู่คนเดียวของเธอย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าโดยประการใด เธอจงฟังโดยประการนั้น จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว ท่านพระเถระทูลรับ พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสดังต่อไปนี้.

[๗๒๐] ดูก่อนเถระ ก็การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างไร ในข้อนี้ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว สิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็สละคืนได้แล้ว ฉันทราคะในการได้อัตภาพที่เป็นปัจจุบันถูกกำจัดแล้วด้วยดี การอยู่คนเดียวย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างนี้แล.

[๗๒๑] พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และไตรภพทั้งหมดได้ ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้น ในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ว่าเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ดังนี้.

จบเถรนามสูตรที่ ๑๐

อรรถกถาเถรนามสูตรที่ ๑๐

ใน เถรนามสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า วณฺณวาที แปลว่า มีปกติกล่าวอานิสงส์.

บทว่า ยํ อตีตํ ปหีนํ ความว่า เป็นอันชื่อว่าละความโกรธนั้น ด้วยการละฉันทราคะในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต.

บทว่า อนาคตํ ความว่า เบญจขันธ์อันเป็นอนาคตเป็นอันชื่อว่าสลัดเสียได้ ด้วยการสละฉันทราคะในเบญจขันธ์นั้น.

บทว่า สพฺพาภิภุํ ความว่า ตั้งครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และภพ ๓ ทั้งหมด.

บทว่า สพฺพวิทุํ ได้แก่ รู้แจ้งเบญจขันธ์เป็นต้นซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วทั้งหมดนั้น.

บทว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ ความว่า อันเครื่องฉาบคือตัณหาและทิฏฐิไม่เข้าไปฉาบแล้วในธรรมทั้งปวงนั้นแล.

บทว่า สพฺพํ ชหํ ความว่า ละเบญจขันธ์นั้นแลทั้งหมด ด้วยการละฉันทราคะในเบญจขันธ์นั้น.

บทว่า ตณฺหกฺขเย วิมุตฺตํ ได้แก่ น้อมไปในพระนิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา คือในวิมุตติซึ่งมีพระนิพพานนั้นเป็นอารมณ์.

จบอรรถกถาเถรนามสูตรที่ ๑๐


อ.กุลวิไล: ท่านอาจารย์ค่ะ ดิฉันก็ขอมาต่อส่วนที่เมื่อสักครู่ที่ อ.อรรณพ ได้สนทนากับท่านอาจารย์ โดยนำ เถรนามสูตร มาสนทนากับท่านอาจารย์ เนื่องจากเถระชื่อ เถระ ซึ่งท่านเป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว และก็สรรเสริญการอยู่ผู้เดียว ท่านก็เป็นผู้มีปกติแล้วไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาตก็ผู้เดียว กลับก็ผู้เดียว นั่งในที่ลับก็ผู้เดียว แล้วก็ยังเป็นผู้เดียวที่อธิษฐานจงกรม ซึ่งก็เป็นเหตุให้พระภิกษุรูปหนึ่งไปเรียนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสให้ภิกษุเหล่านั้นไปเชิญพระภิกษุเถระมา แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ดูก่อนเถระ การอยู่คนเดียวนี้มีอยู่ เราจะกล่าวว่าไม่มีก็หาไม่ อนึ่ง การอยู่คนเดียวของเธอย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยพิสดารกว่าด้วยประการใด เธอจงฟังประการนั้น จงทำไว้ในใจให้ดีเราจะกล่าว

ช่วงแรกดิฉันกราบเรียนถามท่านอาจารย์ที่ท่านพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า การอยู่คนเดียวนี้มีอยู่ เราจะกล่าวว่าไม่มีก็หาไม่ กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ

ท่านอาจารย์: คุณกุลวิไลเคยอยู่คนเดียวไหม?

อ.กุลวิไล: บ่อยมากค่ะ

ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวหรือเปล่า? เห็นไหม ลองย้ำคำที่พระองค์ตรัสที่คุณกุลวิไลเพิ่งยกมาเท่านั้น ซ้ำอีกทีหนึ่ง

อ.กุลวิไล: ดูก่อนเถระ การอยู่คนเดียวนี้มีอยู่ เราจะกล่าวว่าไม่มีก็หาไม่

ท่านอาจารย์: แค่นี้ ทุกคนรับรองใช่ไหม? แต่ผู้กล่าว คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องฟังต่อไปเพราะทุกคนรู้เข้าใจอยู่ว่า เคยอยู่คนเดียว ไม่มีข้อสงสัยว่า เวลาอยู่คนเดียวคือคนเดียวหมายความว่าอย่างไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง จะตรัสว่าอย่างไร ก็พระองค์ก็ต้องตรัสต่อไปใช่ไหม?

อ.กุลวิไล: ค่ะ ท่านจึงตรัสว่า การอยู่คนเดียวของเธอย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าโดยประการใด เธอจงฟังโดยประการนั้น จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว

ดิฉันก็ขอนำข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวกับพระเถระว่า ...

ท่านอาจารย์: แต่ก่อนอื่น ทบทวนอีกครั้ง แม้พระองค์จะตรัส พระองค์ยังเตือนใช่ไหม? ไม่ใช่ว่า พร้อมที่จะฟังโดยไม่ได้ฟังคำเตือนของพระองค์

ก่อนที่จะตรัสเรื่องอยู่คนเดียว พระองค์ตรัสว่าอย่างไร ซ้ำอีกครั้งหนึ่งเมื่อกี้นี้

อ.กุลวิไล: อนึ่ง การอยู่คนเดียวของเธอย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าด้วยประการใด เธอจงฟังโดยประการนั้น จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว

ท่านอาจารย์: เห็นไหม!! เธอจงฟังประการนั้น จงใส่ใจฟังไว้ให้ดี

แล้วต่อไปว่าอย่างไร?

อ.กุลวิไล: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ดูก่อนเถระ ก็การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างไร ในข้อนี้ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว สิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็สละคืนได้แล้ว ฉันทราคะในการได้อัตภาพที่เป็นปัจจุบันถูกกำจัดแล้วด้วยดี การอยู่คนเดียวย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างนี้แล ค่ะ

กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ

ท่านอาจารย์: อย่าลืม!! ฟังแล้วต้องมีอรรถกถา ใช่ไหม?

อ.กุลวิไล: ใช่ค่ะ ท่านก็กล่าวถึงสภาพธรรมที่เป็นอดีตก่อน

บทว่า วณฺณวาที แปลว่า มีปกติกล่าวอานิสงส์.

บทว่า ยํ อตีตํ ปหีนํ ความว่า เป็นอันชื่อว่าละความโกรธนั้น ด้วยการละฉันทราคะในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต.

บทว่า อนาคตํ ความว่า เบญจขันธ์อันเป็นอนาคตเป็นอันชื่อว่าสลัดเสียได้ ด้วยการสละฉันทราคะในเบญจขันธ์นั้น.

บทว่า สพฺพาภิภุํ ความว่า ตั้งครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และภพ ๓ ทั้งหมด.

บทว่า สพฺพวิทุํ ได้แก่ รู้แจ้งเบญจขันธ์เป็นต้นซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วทั้งหมดนั้น.

ดิฉันขอหหยุดแค่นี้ก่อน เพราะว่าอรรถกถาท่านกล่าวในกถาต่อไป แต่ดิฉันอ่านพระกถาแรกค่ะ กล่าวถึงธรรมะที่เป็นอดีต ธรรมะที่เป็นอนาคต และธรรมะที่เป็นปัจจุบันค่ะ

ท่านอาจารย์: ฟังแล้วละกิเลสได้ไหม? จบไปนี่ ที่พระองค์ตรัสว่า จงใส่ใจให้ดี ฟังแล้วละกิเลสได้ไหม?

อ.กุลวิไล: ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?

อ.กุลวิไล: เพราะว่าลึกซึ้งรู้ได้ยาก

ท่านอาจารย์: เพราะไม่เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจละไหม?

อ.กุลวิไล: ละได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: ด้วยเหตุนี้จึงต้องเข้าใจคำที่พระองค์ตรัส มิเช่นนั้น เพียงแต่ใส่ใจแต่ไม่รู้อะไร

ไตร่ตรองพิจารณาครบถ้วนตามที่ได้ฟังแล้วฟังอีกทั้งหมด จึงสามารถเข้าใจได้

ไม่ใช่เพิ่งฟังครั้งแรกตอนนี้ก็จะสามารถเข้าใจได้เลย ถูกต้องไหม?

อ.กุลวิไล: ค่ะ เพราะฉะนั้น ที่ท่านกล่าวว่า สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว สิ่งใดยังมาไม่ถึง สิ่งนั้นสละคืนได้

ท่านอาจารย์: แค่สั้นๆ สิ่งใด ... ตั้งต้นใหม่

อ.กุลวิไล: สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว

ท่านอาจารย์: แค่นี้!! ยังไม่ได้ละใช่ไหม? ยังละไม่ได้ใช่ไหม?

อ.กุลวิไล: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าพระองค์ตรัสอย่างนี้ "ละได้แล้ว" ละได้หรือยัง?

อ.กุลวิไล: ยังค่ะ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม? และถ้าไม่ฟังต่อไป หนทางจะละได้มีไหม? จะขาดได้ไหมว่า พอฟังอย่างนี้ พระองค์ตรัสอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้แล้วจบ!!

แม้แต่ว่า ละได้แล้ว จะละได้อย่างไร? แต่ละคำลึกซึ้ง

อ.กุลวิไล: ซึ่งในอรรกถาท่านกล่าวว่า ชื่อว่าละความโกรธนั้น ด้วยการละฉันทราคะในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต

ท่านอาจารย์: เห็นไหม แค่นี้ ละได้ไหม?

อ.กุลวิไล: ความโกรธละไม่ได้

ท่านอาจารย์: เพราะขณะนั้น อะไรเป็นเบญจขันธ์ก็ไม่รู้ ถูกต้องไหม ไม่ใช่ผ่านไปเลย ผ่านไปเลยๆ ๆ แต่ทุกคำของพระองค์ แม้สิ่งนั้นเกิดแล้วหมดแล้ว ละได้แล้วเพราะรู้เบญจขันธ์ เพราะฉะนั้น ต้องขณะนั้นอะไรเป็นเบญจขันธ์ และรู้ตรงนั้นใช่ไหม จึงสามารถจะละได้ เห็นไหม ต้องละเอียดมาก

อ.กุลวิไล: ค่ะ ท่านอาจารย์ใช้คำว่า รู้ตรงนั้นซึ่งก็ตรงกับที่ท่านกล่าวถึงธรรมะที่เป็นปัจจุบันค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่รู้ตรงนั้นไม่ละตรงนั้น จะชื่อว่ารู้เบญจขันธ์ไหม?

อ.กุลวิไล: ไม่รู้ค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วเจาะจงไหมว่าอะไร?

อ.กุลวิไล: ก็ไม่เจาะจง

ท่านอาจารย์: เพราะเป็นขันธ์ที่เกิดแล้วมีแล้วขณะนั้น

อ.กุลวิไล: ซึ่งฉันทราคะในการได้อัตภาพที่เป็นปัจจุบันถูกกำจัดแล้วด้วยดี การอยู่คนเดียวย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างนี้แล

ท่านอาจารย์: เห็นไหม โดยพิสดาร ความรู้ต้องแค่ไหน? ในเบญจขันธ์ในขณะนั้น จึงสามารถที่จะละฉันทราคะในขันธ์ที่ดับแล้ว

เวลานี้ทุกคนรู้ตัวหรือเปล่า มีฉันทราคะในเบญจขันธ์ที่ดับแล้วทั้งนั้น

เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดดับแล้ว แต่ยังพอใจในสิ่งที่ดับแล้วยังต้องการอยู่ จริงไหม? ไม่ได้ละฉันทราคะในสิ่งที่ดับแล้วเลย

อ.กุลวิไล: และก็สิ่งใดที่ยังมาไม่ถึง สิ่งนั้นก็ยังไม่สละคืนได้เลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งใดยังมาไม่ถึงสิ่งนั้นก็สละคืนได้แล้ว

ท่านอาจารย์: ถ้ายังไม่สละคืน ก็ยังต้องการสิ่งที่ยังมาไม่ถึงใช่ไหม?

อ.กุลวิไล: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: แต่เพราะรู้ความจริงขณะนั้น จึงละความยินดีในสิ่งที่ไม่มาถึงแม้จะมาถึงก็ละความยินดีเพราะรู้ความจริง

ธรรมะเป็นเรื่องที่ทุกคำต้องไตร่ตรอง และต้องมีการฟังมาแล้วอย่างมาก และก็ไม่ลืมในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว และพิจารณาไตร่ตรองจนสามารถที่จะทันทีที่อ่านก็สามารถที่จะเข้าใจในความลึกซึ้งในความหมายที่ทำให้ละได้ ไม่ใช่แค่ประโยคนี้แล้วละ

อ.กุลวิไล: ซึ่งในพระกถาที่สอง อ.อรรณพก็ได้สนทนากับท่านอาจารย์ไปบ้างแล้ว จะเห็นถึงว่า ถึงความเป็นพระอรหันต์เลยค่ะท่านอาจารย์สำหรับผู้มีปกติอยู่ผู้เดียวค่ะ ดิฉันขออ่านค่ะ

เราย่อมเรียกนรชนผู้ครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และไตรภพทั้งหมดได้ ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวงเสียได้ ผู้หลุดพ้น ในเพราะนิพพานเป็นที่สิ้นตัณหา ว่าเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ดังนี้.

ท่านอาจารย์: ชัดเจนไหม?

อ.กุลวิไล: ชัดเจนค่ะ ถึงความเป็นพระอรหันต์เลยสำหรับเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว ทำให้คิดถึงหัวข้อที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ อยู่คนเดียวกับความคิด ซึ่งท่านอาจารย์ก็ใช้คำที่สามารถจะให้ค่อยๆ เข้าใจความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงค่ะ แต่ถ้าในพระไตรปิฎกแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงความเป็นพระอรหันต์

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..

เป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว [เถรนามสูตร]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.กุลวิไล ด้วยความเคารพค่ะ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ